บทที่ 4 คำสัญญา
บทที่ 4
คำสัญญา
เมื่องานเลี้ยงเลิกราทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับจวน เหตุการณ์ในวันนี้นั้นทำให้ภายในรถม้าตระกูลหยางที่กำลังเดินทางกลับรู้สึกกังวลและอึดอัดใจ หยางหมิงนั้นรักฮูหยินเอกจ้าวอ้ายฉิงมาก แม้ว่านางจะจากไปได้หลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะยกใครขึ้นมาแทนที่จ้าวอ้ายฉิงเลย บุตรชายหญิงที่เกิดจากจ้าวอ้ายฉิงเขาก็รักมากกว่าบุตรธิดาที่เกิดจากเสิ่นอี๋นั่วผู้เป็นภรรยารองของเขาเสียอีก
สิ่งใดที่บอกว่าดีเขาล้วนสรรหามามอบให้หยางเฟยเทียนกับหยางซูมี่ก่อนเสมอ แต่นี่ฮ่องเต้กลับทรงมอบสมรสพระราชทานให้หยางซูมี่แต่งเข้าจวนชินอ๋อง ตัวเขาในฐานะที่เป็นขุนนางผู้เป็นข้ารองบาทจะกล้าเอ่ยปากปฏิเสธได้อย่างไรกัน แค่คิดว่าบุตรสาวของเขาจะต้องออกเรือนไป ใจของเขาก็พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
“ท่านพ่ออย่าเพิ่งคิดมากเลยขอรับ การสมรสในครั้งนี้ของมี่เอ๋อร์อาจจะผลดีกับตัวนางก็เป็นได้”
หยางเฟยเทียนเอ่ยปลอบผู้เป็นบิดา แม้เขาจะรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้เหมือนกับฮ่องเต้ทรงกำลังบีบคั้นตระกูลหยางก็ตามที แต่ว่าที่น้องเขยผู้เป็นถึงชินอ๋องนั้นเป็นคนที่อุปนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว แม้ใบหน้าจะเงียบขรึมเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าพอจะวางใจฝากชีวิตน้องสาวของเขาให้ชินอ๋องดูแลได้
“อาจจะจริงตามที่เจ้าว่า พ่อคิดว่านับตั้งแต่ที่มี่เอ๋อร์โดนปฏิเสธงานหมั้นในครั้งนั้น จนทำให้มี่เอ๋อร์คิดสั้นกระโดดน้ำหวังปลิดชีพตนเองแต่รอดกลับมาได้ หลังจากมี่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมา นางก็ดูโตขึ้นจนพ่อใจหาย คิดไม่ถึงว่าผ่านมาเพียงแค่สามปี มี่เอ๋อร์จะต้องออกเรือนเสียแล้ว”
หยางหมิงเอ่ยพลางถอนหายใจ เขานั้นยังรู้สึกว่าบุตรสาวของเขายังเด็กเกินไป ยังไม่อยากจะรีบร้อนให้นางออกเรือนเลย
“ท่านพ่อโปรดวางใจขอรับ มี่เอ๋อร์นั้นมีจวนตระกูลหยางและตระกูลจ้าวคอยหนุนหลัง หากมี่เอ๋อร์โดนรังแก ข้าผู้เป็นพี่ชายจะทวงคืนความยุติธรรมให้เอง”
ภายในรถม้าอีกคันกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบ หยางซูมี่นั่งหลับตาพร้อมกับนึกไว้อาลัยในชะตาชีวิตของตนเอง เดิมทีนั้นเธอคือไผ่หลิว สาวลูกครึ่งไทยจีนอาศัยอยู่กับคุณตาที่ประเทศไทยตั้งแต่สามขวบ หลังจากที่พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินขณะที่กำลังเดินทางมาประเทศจีน เธออยู่กับคุณตามาตั้งแต่เด็กจนอายุได้ 18 ปี คุณตาก็มาเสียไปอีกคนชีวิตของเธอจึงเคว้งคว้างเป็นอย่างมาก ยังดีที่เธอมีเพื่อนรักอย่างบัวชมพูที่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเธอเสมอมา
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีคณะจิตวิทยา เธอก็ได้ทำงานที่เป็นนักจิตวิทยากับโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงแค่ 25 ปี กลับต้องมาถูกรถชนตายฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในร่างของหยางซูมี่ ที่น่าแปลกคือเธอกับหยางซูมี่มีใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน เธอจึงสันนิษฐานว่าเธอกับหยางซูมี่อาจจะเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแค่อยู่คนละยุคเท่านั้น แต่กว่าที่เธอจะปรับตัวได้ และอาศัยอยู่ในร่างนี้ประหนึ่งว่าเธอนั้นคือ หยางซูมี่จริงๆนั้นก็ใช้เวลานานพอสมควร
เธอคิดเสมอว่าที่เธอได้มาอยู่ในร่างของหยางซูมี่นั้น คงจะเป็นเพราะสวรรค์เมตตาให้เธอได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง เธอเองก็จะขอใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าที่สุด แต่ก็มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงคือเธอกลับต้องมาโดนคลุมถุงชนให้แต่งงาน นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับชีวิตของเธอมากเกินไปหรือไม่
“พี่หญิงใหญ่ช่างวาสนาดียิ่งนักนะเจ้าคะ ตัวข้านั้นจะมีวาสนาดั่งเช่นพี่หญิงใหญ่บ้างหรือไม่กันนะ”
หยางเจียลี่เอ่ยทำลายความเงียบ นัยน์ตาทอประกายความอิจฉาออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“หากน้องรองอยากวาสนาดีเช่นข้าก็จงทำตัวให้สมกับที่เป็นบุตรีของท่านพ่อ แล้วก็เก็บปากสงบคำ และแววตาริษยาของเจ้าด้วย”
หยางซูมี่เอ่ยอย่างไม่รักษาน้ำใจหยางเจียลี่อีกต่อไป น้องรองต่างแม่ผู้นี้นางไม่อยากจะมานั่งปั้นหน้าพูดดีด้วยอีกต่อไปแล้ว
“เจ้า!!”
หยางเจียลี่ถลึงตาโตมองหยางซูมี่ด้วยความไม่พอใจแต่มิอาจจะทำอะไรนางได้
เมื่อรถม้าจอดสนิทเจินเจินก็เข้ามาประคองหยางซูมี่ให้เดินลงมาจากรถม้า ทั้งสองตรงกลับไปที่เรือนไผ่หลิวทันที หยางซูมี่นั้นอยากจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนแล้ว งานเลี้ยงในพระราชวังกินพลังงานชีวิตของนางเสียจริงๆ
“ซินซินเจ้ารีบไปเตรียมน้ำให้คุณหนู ข้าจะไปช่วยคุณหนูเปลี่ยนชุด”
“ทำไมวันนี้คุณหนูดูอารมณ์ไม่ดีเลยเล่า”
ซินซินเป็นคนช่างสังเกต นางเห็นว่าคุณหนูนั้นหลังจากกลับมาคิ้วเรียวกลับขมวดกันเป็นปม นัยน์ตาก็ทอประกายเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น ไม่รู้ว่าภายในงานเลี้ยงเกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่ เพราะวันนี้นางไม่ได้ติดตามไปด้วย เจินเจินได้แต่ขบกัดริมฝีปากของตนเองอย่างเคร่งเครียดก่อนจะกระซิบบอกความแก่ซินซิน
เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วหยางซูมี่อยู่ในชุดนอนสีขาวโปร่งบาง นางปีนขึ้นไปบนเตียงนอนนุ่มเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แล้วไล่สาวใช้ทั้งสองให้ออกไปนอนยังห้องด้านข้างแทน นางไม่ชมชอบให้มีคนมานอนเฝ้าด้วยคุ้นชินกับการนอนคนเดียวมากกว่าเหมือนตอนที่ยังเป็นไผ่หลิว
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงในห้องของโฉมงามมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามา พอเห็นเป็นเงารางเลือนเท่านั้น จู่ๆก็มีผู้บุกรุกแอบปีนเข้ามาทางหน้าต่างห้อง เจ้าของเงาดำก้าวย่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบาขยับเข้าไปนั่งบนโต๊ะข้างเตียง เฝ้ามองหยางซูมี่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง
ผู้บุกรุกนั้นแท้จริงก็คือเซี่ยเหวินหรง คืนนี้ที่เขาลอบเข้ามาเพราะอยากจะมาพบหน้ากับว่าที่พระชายาของเขาเสียก่อน ไม่คิดว่านางจะนอนเร็วถึงเพียงนี้ ขณะที่กำลังจะแอบออกไปนั้น เสียงหวานได้เอ่ยเรียกไว้
“เหตุใดชินอ๋องต้องแอบปีนหน้าต่างลอบเข้ามาในห้องนอนของหม่อมฉันด้วยเพคะ กระทำตัวดั่งเช่นโจรเด็ดบุปผา”
หยางซูมี่ลืมตาขึ้นมามองผู้ที่บุกรุกห้องนอนของนาง จากนั้นลุกขึ้นนั่งทั้งยังไม่ลืมเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้
"เสียมารยาทต่อคุณหนูหยางแล้ว เปิ่นหวางเพียงอยากมาสนทนากับเจ้าเพียงเท่านั้น"
หึ สนทนาอันใดในยามมืดค่ำ ทั้งยังแอบเข้ามาในห้องสตรี บุรุษหน้าไม่อาย หยางซูมี่ลอบก่นด่าภายในใจ
"ชินอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือเพคะ ถึงขนาดที่ชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงทรงรอให้เช้าก่อนไม่ได้ แล้วค่อยเดินเข้ามาทางประตูหน้าจวนไม่ได้เลยหรือเพคะ"
ฝีปากของคุณหนูใหญ่ไม่อาจดูแคลนได้เลย ใครบอกกันว่าคุณหนูหยางซูมี่มีดีเพียงรูปโฉม สติปัญญาขลาดเขลา ศาสตร์ทั้งสี่ไม่อาจสู้ คุณหนูหม่า และคุณหนูจ้าวโฉมสะคราญอันดับหนึ่งและสองได้เลยกัน แค่ประโยคเดียวก็ตอกกลับชินอ๋องอย่างเขาให้แสบๆ คันๆ
"เปิ่นหวางมีคำถามหนึ่งข้อ หายเจ้าตอบเสร็จ เปิ่นหวางก็จะจากไปทันที เจ้าเต็มใจที่จะแต่งเป็นหวางเฟยของเปิ่นหวางหรือไม่"
ดวงตาคู่คมสบกับนัยน์ตากลมโตอย่างรอคอยคำตอบ
"บัญชาจากฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อาจปฏิเสธได้เพคะ"
คำตอบจากโฉมงามทำให้คิ้วคมขมวดกัน บรรยากาศแฝงความอึดอัดเล็กน้อย
"เจ้าจงตอบอย่างใจคิด คำตอบของเจ้าเปิ่นหวางขอให้สัตย์ว่าจะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เปิ่นหวางเพียงแค่อยากรู้ความคิดของเจ้า"
โฉมงามถอนหายใจอย่างผ่อนคลายเล็กน้อย หากเขาอยากได้คำตอบจริงๆ นางก็จะตอบให้ แล้วอย่ามาโกรธทีหลังแล้วกัน
"หากตอบด้วยเหตุผล การแต่งงานนับเป็นวาสนาของหม่อมฉันและตระกูลหยาง การเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่วงศ์ตระกูล แต่ถ้าถามใจของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอตอบว่าไม่ต้องการแต่งงานเพคะ ไม่ว่าบุรุษใดในใต้หล้า หม่อมฉันก็ไม่อยากแต่งทั้งนั้น"
จบคำยิ่งทำให้บรรยากาศคล้ายกับเย็นยะเยือกขึ้นมากกว่าเดิม
"เพราะเหตุใด เจ้าไม่ชอบบุรุษหรือ"
ร่างสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย หรือนางจะชมชอบสตรีด้วยกันเอง
"เซี่ยเหวินหรง!! "
หยางซูมี่ตกใจจนเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวอาญา
"ข้าหยางซูมี่ เป็นบุตรีของท่านเสนาบดีหยางหมิงกับจ้าวอ้ายฉิง ไม่ได้มีความคิดดั่งเช่นท่านว่า ข้าเพียงไม่ปรารถนาจะใช้สามีร่วมกับหญิงใด หากต้องใช้สามีร่วมกัน ข้าขออยู่เป็นสาวเทื้อเสียยังจะดีกว่า"
ด้วยอารมณ์โกรธทำให้หยางซูมี่เผลอใช้คำสามัญกับชินอ๋อง นางโกรธที่เขาคิดว่านางเป็นสตรีที่ชอบสตรีด้วยกันเอง ถึงแม้ยุคที่นางจากมาจะเปิดเสรีเรื่องความรักไม่แบ่งแยกเพศ แต่สำหรับยุคนี้แล้วไม่ใช่
เซี่ยเหวินหรงยืนอึ้ง จากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เหมือนคำพูดของนางเป็นเรื่องตลก ในแผ่นดินนี้บุรุษที่มีภรรยาเพียงหนึ่งคนเห็นจะมีแต่ชาวบ้านที่ยากจน ด้วยธรรมเนียมการที่บุรุษมีภรรยาหลายคน และมีลูกหลานมาก ย่อมแสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย และความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล การที่นางกล่าวเช่นนี้ช่างผิดธรรมเนียมยิ่งนัก
"ขำอันใดกันเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าที่หม่อมฉันพูดออกไปนั้นอาจจะผิดธรรมเนียม แต่ที่หม่อมฉันพูดเช่นนี้ เพราะการที่ในจวนนั้นมีภรรยา และบุตรธิดาหลายคนนั้น ล้วนทำให้ก่อปัญหาทั้งสิ้น ทั้งการอิจฉาริษยา การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เลวร้ายสุดคือการลอบสังหารกัน เรื่องนี้พระองค์น่าจะเข้าใจดีนะเพคะ"
หยางซูมี่อธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตากลมโตสบกับตาคมของอีกฝ่ายอย่างไม่ถอย
"เป็นเปิ่นหวางที่เข้าใจเจ้าผิดไป เจ้าสบายใจได้ในจวนของเปิ่นหวาง จะมีเจ้าเป็นนายหญิงแต่เพียงผู้เดียว"
เซี่ยเหวินหรงให้สัตย์กับหยางซูมี่อย่างจริงจัง
คำพูดของเขาเปรียบดั่งหินผา หยางซูมี่มองคนพูดพลันรู้สึกใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว นางไม่คิดว่าบุรุษผู้นี้จะพูดเช่นนี้ออกมา ใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้ เขาเป็นถึงชินอ๋องการจะแต่งพระชายารอง และอนุเข้ามานั้นง่ายมาก แต่การไม่แต่งใครเข้ามา เขาจะทำได้จริงหรือ การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นการแต่งงานการเมืองทั้งสิ้น
"หม่อมฉันจะจดจำเอาไว้เพคะ"
หยางซูมี่พูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมมิดทั้งตัว เซี่ยเหวินหรงเพียงยกยิ้ม แล้วทะยานตัวออกไปจากห้องทันที