บทที่ 3 วาสนาของหยางซูมี่
บทที่ 3
วาสนาของหยางซูมี่
งานเลี้ยงจะเริ่มเมื่อปลายยามอู่แต่เวลานี้เพิ่งต้นยามเซิ่นเท่านั้น คุณหนูคุณชายที่มาถึงก่อนเวลาจึงได้ใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อพูดคุยพบปะกับสหายกันที่อุทยานหลวงที่ถูกจัดไว้ให้ ขุนนางที่สนิทสนมกันต่างก็พากันจับกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน งานเลี้ยงวันนี้ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานอย่างหนักของเหล่าขุนนาง
หยางหมิงได้เดินแยกไปหาสหายที่เป็นขุนนาง หยางเฟยเทียนได้ชวนหยางเฟยหรงไปยังลานยิงธนู หยางซูมี่นั้นจำต้องพาหยางเจียลี่ไปด้วยกัน เดินมาได้สักพักหยางเจียลี่ก็พบกับสหายทั้งคู่จึงได้เดินแยกทางกัน จะมาพบกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่งานเลี้ยงเริ่ม
“เหตุใดเจ้าถึงได้พาน้องสาวมาด้วยเล่ามี่เอ๋อร์”
หม่าฮุ่ยหลิงเอ่ยถามสหายสนิทของตน เมื่อหยางซูมี่เข้ามานั่งที่ศาลา
“ท่านพ่ออยากให้นางได้มาเปิดหูเปิดตา ปีนี้นางจะอายุ 17 หนาวแล้ว สมควรมองหาคู่ครองได้แล้ว” หยางซูมี่เอ่ยตอบสหายอย่างไม่ใส่ใจนัก
“แล้วเจ้าเล่ามี่เอ๋อร์ ปีนี้เจ้าก็อายุ 18 หนาวแล้วได้เริ่มมองหาคู่ครองบ้างหรือยังเล่า มีคุณชายตระกูลไหนที่เจ้าหมายตาไว้บ้าง”
“ข้าอยากจะเป็นสาวเทื้อขึ้นคานเสียมากกว่า”
หยางซูมี่เอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก สหายที่นั่งในศาลาต่างพากันหัวเราะ ถ้าโฉมสะคราญดั่งหยางซูมี่ขึ้นคานกลายเป็นสาวเทื้อ สตรีในใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดได้แต่งงานออกเรือนแล้ว
“เจ้าอย่าได้พูดเล่น ข้าได้ข่าวจากข้างในว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานสมรสให้กับท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ในแคว้นเรามีเพียงหญิงงามสามคนเท่านั้นที่เหมาะสม”
เถาซูเม่ยเอ่ยด้วยเสียงเบาราวกับกระซิบ
“เม่ยเอ๋อร์เจ้าจะกระซิบไปทำไม ข่าวลือนี้เขารู้กันไปทั่ว แม้แต่ชาวบ้านยังรู้เลย”
หม่าฮุ่ยหลิงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับสหายของตน นี่นางตกข่าวไปหรือไม่
“อันนั้นคือข่าวทั่วไป แต่ข้านั้นรู้แล้วว่าผู้ใดจะได้สมรสพระราชทานกับท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง”
เถาซูเม่ยเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้ารู้สิ่งใดก็รีบคลายออกมาเลยนะ”
หม่าฮุ่ยหลิงเริ่มตื่นเต้นไปกับข่าวของเถาซูเม่ย
“ไทเฮาทรงประสงค์จะให้คุณหนูมู่เหลียนฮวาแต่งเข้ามาเป็นพระชายา แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงประสงค์ที่จะให้คุณหนู...”
เถาซูเม่ยยังเอ่ยไม่ทันจบ นางกำนัลก็ได้เข้ามาเชิญให้พวกนางกลับเข้าไปที่งานเลี้ยง เพราะอีกไม่นานงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นแล้ว หม่าฮุ่ยหลิงกับหยางซูมี่ได้แต่ทำหน้าเสียดาย แต่จนใจที่ต้องเดินตามนางกำนัลออกไป เถาซูเม่ยส่งสายตาหยอกล้อมาที่สหายของตน พลางหัวเราะออกมาเสียงเบา สร้างความหมั่นไส้ให้กับหยางซูมี่และหม่าฮุ่ยหลิง
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว เสียงประกาศของขันทีดังลั่นเป็นสัญญาณเพื่อบอกให้ทุกคนทราบว่าตอนนี้โอรสสวรรค์ได้ทรงเสด็จเข้ามายังงานเลี้ยงแล้ว
“ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ ไทเฮาเสด็จ”
ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นยืนแล้วถวายความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อฮ่องเต้ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์มังกรสีเหลืองอร่ามเรียบร้อยแล้ว จึงโบกพระหัตถ์เพื่อให้ทุกคนนั่งลงได้ ที่นั่งของแต่ละพระองค์ถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นฐานะ ที่นั่งทางด้านขวาพระหัตถ์ของฮ่องเต้ทรงมีฮองเฮาประทับอยู่ ส่วนทางด้านซ้ายของพระหัตถ์นั้นเป็นไทเฮา
เก้าอี้ถัดมานั้นทางด้านซ้ายจะเป็นที่นั่งของบุรุษ โดยคนแรกคือท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ถัดไปเป็น จวิ้นอ๋องเซี่ยเหวินหลิน เป้ยเล่อเซี่ยป๋อหลิน และถัดไปเป็นครอบครัวของขุนนางที่เป็นบุรุษ
ส่วนทางด้านขวานั้นจะเป็นที่นั่งของบรรดาเหล่าสนมทั้งหลายของฮ่องเต้ และครอบครัวของเหล่าขุนนางที่เป็นสตรีทั้งหมด
ท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงนั้นถือกำเนิดมาจากพระสนมเว่ยกุ้ยเฟยทรงพระนามว่าเว่ยซูฉี ส่วนท่านอ๋องทั้งสองนั้นล้วนถือกำเนิดจากพระสนมขั้นผิน หลังจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงได้ทรงพระราชทานตำแหน่งอ๋องและตำหนักให้ มีเพียงเซี่ยเหวินหรงที่ไม่ได้ตำแหน่งอ๋องที่ชัดเจน มีเพียงตำแหน่งท่านแม่ทัพแห่งกองทัพพยัคฆ์ทมิฬเท่านั้น แต่ทุกคนต่างรู้กันดีว่าอำนาจของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงเปรียบดั่งตำแหน่งของชินอ๋อง
เซี่ยเฟยหลงเอ่ยเปิดงานเพื่อเริ่มงานเลี้ยงได้ จากนั้นจึงได้มีการแสดงต่างๆ ตรงกลางลานแสดง นางกำนัลต่างยกอาหารและสุรามารับรองแขกทั้งหลาย น้ำชาก็ล้วนเป็นชาชั้นดี หยางซูมี่นั่งชมการแสดงอย่างสุนทรีย์
อาหารล้วนมีหลากหลายให้เลือกชิม ทั้งอาหารคาวและของหวาน ขึ้นชื่อว่านี่คืองานเลี้ยงในพระราชวัง สิ่งใดดีล้วนมีทั้งสิ้น สุราเองก็เป็นสุราที่ทำมาจากผลท้อที่ใช้เวลาหมักถึงห้าปี รสชาติหวานละมุนติดขมที่ปลายลิ้น หยางซูมี่ดื่มหมดไปถึงสามจอก หากเป็นสตรีอื่นคงเกิดอาการมึนเมาบ้างแล้ว แต่มิอาจจะทำอะไรกับหยางซูมี่ได้
เซี่ยเหวินหรงสนใจเพียงแค่จอกสุราในมือ และโฉมงามที่กำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มเป็นจอกที่ห้า ประหนึ่งว่าในจอกนั้นเป็นเพียงน้ำชาหาใช่สุราไม่ ความสนใจของเขาที่มีต่อโฉมงามนั้นทำให้เขามิอาจจะละสายตาออกไปได้เลย แม้ว่าเขากำลังสนทนากับน้องชายอย่างเซี่ยเหวินหลิน แต่สายตาคมก็จะวกกลับไปหาที่นางตลอด
ช่วงเวลาสำคัญของงานเลี้ยงได้มาถึงแล้ว เซี่ยเฟยหลงทรงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยพระสุรเสียงดังกังวาน
“งานเลี้ยงในวันนี้เจิ้นจัดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือแคว้นฉิน แต่ถึงแม้เราจะเอาชนะมาได้ แต่เราก็ได้สูญเสียทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อแผ่นดินบ้านเกิด เพื่อให้ลูกหลานของแคว้นเซี่ยได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป จอกนี้เจิ้นขอดื่มเพื่อไว้อาลัยแด่ทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง”
เซี่ยเฟยหลงยกจอกสุราขึ้นดื่ม ทุกคนต่างก็ทำตามเช่นกัน
“ครอบครัวของทหารกล้าที่พลีชีพจะได้รับเงินชดเชยจากเจิ้น ทหารที่ทำผลงานได้ดีเจิ้นจะตกรางวัลให้อย่างเหมาะสม และเซี่ยเหวินหรงแม่ทัพแห่งกองทัพพยัคฆ์ทมิฬผู้นำทัพที่สามารถรบชนะแคว้นฉินได้ เจิ้นมีรางวัลพิเศษให้”
ทุกคนต่างลุ้นระทึกและคาดเดาไปต่างๆ นานา ถึงรางวัลที่ฮ่องเต้จะทรงพระราชทานให้กับท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือออกมา ทุกคนต่างพากันคาดเดาว่าสตรีใดที่จะเป็นผู้โชคดีที่ได้แต่งเข้าจวนของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง
“เซี่ยเหวินหรงพระอนุชาแห่งเราผู้นำทัพแห่งกองทัพพยัคฆ์ทมิฬสามารถนำชัยชนะแคว้นฉินได้ เราในฐานะโอรสสวรรค์ผู้ปกครองแคว้นเซี่ย ประสงค์มอบสมรสพระราชทานให้เซี่ยเหวินหรงกับคุณหนูใหญ่ หยางซูมี่ บุตรีของเสนาบดีกรมคลังหยางหมิง นับจากนี้อีกหนึ่งเดือนให้แต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกในชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง”
สิ้นเสียงของโอรสสวรรค์ ดั่งมีสายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงลงมา
นอกจากฮ่องเต้จะทรงพระราชทานสมรสแล้ว ยังทรงประกาศมอบตำแหน่งชินอ๋องให้กับเซี่ยเหวินหรงอีกด้วย แม้ว่าหลายคนพอจะคาดเดาได้ว่าผู้ใดจะได้แต่งเข้าจวนอ๋อง แต่การที่ฮ่องเต้ทรงประกาศว่าหยางซูมี่จะถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกชินอ๋องนั้น แสดงให้เห็นว่าพระอนุชาผู้นี้มีน้ำหนักในพระทัยของพระองค์เป็นอย่างมาก ตำแหน่งชินอ๋องนั้นปกติจะเป็นรองเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา ดังนั้นตำแหน่งชินอ๋องจึงเป็นรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น
การที่ฮ่องเต้ทรงเลือกหยางซูมี่ให้เป็นพระชายาเอกของเซี่ยเหวินหรงนั้น มีทั้งผู้ที่ยินดีในวาสนาของหยางซูมี่ และก็มีหลายๆ คนที่ผิดหวังเสียใจ และริษยาที่วาสนานี้ไม่ได้ตกมาถึงตนเอง แต่กลับมีใครบางคนที่กำลังรู้สึกเกรี้ยวกราดจนยากจะสงบใจไว้ได้ แม้ใบหน้าจะยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงโทสะ แผนการที่วางไว้ในใจมานานหลายปี กลับพังทลายลง ก้าวช้าเพียงหนึ่งก้าวหมากล้มทั้งกระดาน