บทที่ 3
หนึ่งเดือนต่อมา
ความเย็นชาของคนในครอบครัวพิพัฒน์พงศ์สกุลทำให้ลูกสะใภ้ที่ไม่มีใครต้องการปวดร้าวจิตใจ และถูกตอกย้ำราวกับค้อนปอนด์ที่กำลังทุบไปบนพื้นคอนกรีต ทุบซ้ำๆ จนแตกละเอียดไม่หลงเหลือความแข็งแกร่ง เมื่อพรนับพันเดินกลับไปยังบ้านที่อาศัยตั้งแต่อ้อนแต่ออด ทว่าพรนับพันกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้าน
“ส้มให้คุณหมิวเข้าบ้านไม่ได้ค่ะ คุณท่านสั่งไว้ว่า ไม่ให้คุณหมิวเข้าบ้าน แล้วคุณท่านฝากบอกคุณหมิวว่า ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณหมิวอีกต่อไป” ส้มจีนสาวใช้บอกตามที่สมสมรสั่ง ซึ่งเธอก็รู้สึกสงสารพรนับพันไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ “คุณหมิวไปจากที่นี่ได้ก็ดีแล้ว อยู่ไปก็มีแต่จะทุกข์ ไปอยู่บ้านคุณพีในฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลดังมีแต่สบายนะคะ ไม่ต้องทนให้คนในบ้านนี้โขกสับ ทำร้ายอย่างกับหมูกับหมา ดุด่าสารพัดทั้งที่บางเรื่องคุณหมิวไม่ผิดเลยด้วยซ้ำไป”
ส้มจีนอยู่รับใช้บ้านหลังนี้มาสิบสามปี เป็นระยะเวลาที่เธอรู้เห็นอะไรหลายอย่าง เธอไม่เคยคิดเลยว่า คนที่เรียกตัวเองว่าผู้ดี มีคนนับหน้าถือตา ทำบุญสุนทานไม่เคยขาด มอบเงินให้มูลนิธิเด็กกำพร้าต่างๆ มากมาย ทว่าเด็กที่ชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย กลับไม่ได้รับความรัก ความเมตตาจากครอบครัวนี้อย่างที่ควรจะเป็น ทุกครั้งที่พรนับพันถูกทำร้าย ส้มจีนอยากเข้าไปช่วย แต่เธอก็เป็นแค่สาวใช้รับเงินเดือนไม่อาจเข้าห้ามปรามเจ้านายได้ ทำได้แค่เพียงทำแผลหรือทายาแก้ฟกช้ำให้พรนับพันเท่านั้น
พรนับพันยิ้มแห้ง เดินถอยห่างประตูบานเล็กที่เชื่อมต่อระหว่างสองบ้านทั้งน้ำตา หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านพิพัฒน์-พงศ์สกุล บ้านที่ไม่ต่างกับอีกหลังหนึ่งเลย
วันแรกที่เข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่ พรนับพันถูกคนในบ้านหมางเมิน แสดงออกให้รู้ว่า ไม่อยากให้เธอมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน อาหารมื้อเย็นอันที่จริงเธอจะต้องร่วมโต๊ะด้วย แต่พอพรนับพันเดินเข้าไปในห้องนั้น สายตาสามคู่มองมาที่เธอด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่กนกวรรณจะกระแทกช้อนลงบนจานอย่างคนไม่มีมารยาท และลุกขึ้นยืน
“ใครจะกินก็กินไป ฉันกินไม่ลง”
ขณะพูดสายตาก็พุ่งมองไปยังดวงหน้าของลูกสะใภ้คนโตเขม็ง คนถูกมองรู้สึกราวกับว่า ตัวลีบลงทันใด
“ผมไปด้วย” เจ้าของเสียงคือพัฒนา ประมุขของบ้าน
“ข้าวเย็นหน้าตาน่ากินทั้งนั้น แต่บรรยากาศกลับเน่าเสีย” ภาษิต ลูกคนเล็กของบ้านและเป็นน้องชายของพีรภัทรไม่ออมคำพูด
แล้วทั้งสามก็พากันก้าวเดินออกจากห้องกินข้าว เดินผ่านร่างพรนับพันราวกับว่า เธอไม่มีตัวตน เป็นอากาศที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามี มันทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งนัก น้ำตารินไหลลงมาอย่างสุดกลั้น นับตั้งแต่วันนั้น พรนับพันกินข้าวในห้องครัวมาตลอด เธอพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้าคนในบ้าน กินข้าวเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน แล้วขลุกตัวอยู่ในห้อง หัวใจเธออ้างว้างและเปลี่ยวเหงามาก
ส่วนพีรภัทรไม่ได้กลับบ้านเลยนับแต่วันนั้น เขาพักอาศัยในคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ราคาสูงถึงเจ็ดสิบล้านบาท โดยไม่คิดจะกลับมาบ้านหลังนี้ เขาแสดงออกชัดเจนว่า ไม่ปรารถนาพรนับพันเป็นเมีย ผู้หญิงที่เขาไม่ชอบหน้าตั้งแต่เด็ก
พรนับพันตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชิน และทุกเช้าเธอจะเข้าไปช่วยป้าก้อยและน้อมทำอาหารเช้า แม้ว่าเจ้านายบ้านหลังนี้จะไม่ชอบหน้าเธอ แต่ยังดีที่คนรับใช้ไม่ได้ชิงชังตาม กลับคุ้นเคยกับพรนับพัน เป็นเพราะพวกเธอเดินผ่านประตูเล็กที่เชื่อมต่อระหว่างสองบ้าน ไปทำส้มตำกินกันบ่อยๆ และแบ่งปันอาหารมาให้เจ้านายทั้งสองบ้าน ซึ่งคนที่นำอาหารมาให้บ้านหลังนี้คือ พรนับพัน
“แย่แล้วค่ะคุณหมิว ป้าก้อยไม่สบายทำอาหารไม่ไหว ของเตรียมไว้หมดแล้วด้วย รอแกมาปรุงอย่างเดียว” ต่ายบอกพรนับพันที่เดินเข้ามาในครัว
“ไปซื้อโจ๊กให้คุณๆ กินดีไหม โจ๊กหน้าปากซอยน่ะซื้อปาท่องโก๋มาด้วย แล้วบอกคุณๆ ว่าป้าก้อยไม่สบายไม่มีใครทำมื้อเช้า” น้อมเสนอทางออก
“ถ้าคุณๆ ชอบฉันก็ออกไปซื้อแล้วสิ แกจำไม่ได้เหรอว่า เคยซื้อมาแล้วแต่คุณๆ ไม่กินกันเลย บอกว่าไม่อร่อย” ต่ายบอกน้อม “ฉันทำกับข้าวไม่เป็นซะด้วย ไม่งั้นจะทำเอง”
“คุณๆ บ้านนี้ยุ่งยากเรื่องมื้อเช้าซะด้วย กินอาหารซื้อก็บ่นว่าไม่อร่อย ต้องกินฝีมือป้าก้อยเท่านั้น ความที่ซื้อกินแล้วเรื่องมากอย่างนี้ไงล่ะ พอป้าก้อยป่วยเลยวุ่นวาย” น้อมอดบ่นไม่ได้ มื้ออื่นยังพอทำเนา แต่มื้อเช้าถือว่าได้นั่งกินอาหารกันพร้อมหน้า มันจึงเป็นเรื่องสำคัญของบ้านนี้ แต่ก็มีมื้อเย็นบ้างมื้อที่อยู่กันครบทุกองค์ประชุม
“แล้วมื้อเช้าวันนี้ตั้งใจทำอะไรล่ะ” พรนับพันถาม
“ข้าวต้มกุ้งค่ะ” ต่ายตอบ
“งั้นฉันทำให้ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องปวดหัวเวียนหมองกันไง” พรนับพันหาทางออกให้ “แล้วก็ไม่ต้องบอกใครว่าฉันทำ เป็นความลับของเราสามคน”