บทที่ 2
ใบหน้าเจ้าบ่าวไม่มีรอยยิ้ม หน้าเขาบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เขาแทบไม่มองหน้าเจ้าสาว ทำราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน แสดงออกให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ปรารถนาเข้าพิธีวิวาห์ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เจ้าบ่าวที่แสดงออกชัดเจน ครอบครัวของเขาก็เช่นกัน ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าสักคน ราวกับว่าถูกบังคับขืนใจให้มาร่วมงาน ต่างกับฝ่ายเจ้าสาวที่ต่างพากันยิ้มแย้มประหนึ่งปรีดากับงานแต่งงานครั้งนี้มาก
ก็ใช่...เพราะตัวเสนียดจัญไรกำลังพ้นไปจากชีวิต จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร
สถานที่จัดงานคือบ้านของเจ้าสาว ที่ไม่ได้จัดงานอย่างหรูหรา ประดับด้วยดอกไม้สวยงาม มีเพียงการเลี้ยงพระเช้าห้าองค์ แล้วเสร็จก็เป็นพิธีรดน้ำสังข์ จากนั้นก็ถึงเวลาจดทะเบียนสมรส แล้วพิธีก็จบลงเพียงแค่นี้
จากนั้นก็มีคนรับใช้ของบ้านเจ้าบ่าว ลากกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของพรนับพัน สตรีที่เป็นเจ้าสาวไปยังบ้านของพีรภัทร บุรุษที่เป็นเจ้าบ่าว โดยมีครอบครัวของพีรภัทรเดินกลับบ้านพร้อมกับลูกสะใภ้ที่ไม่ปรารถนา ไม่มีครอบครัวเจ้าสาวเดินมาส่งหรือส่งตัวเข้าหอ
พรนับพันเดินไปที่พักพิงแห่งใหม่ด้วยใจร้าวราน ความเสียใจกลั้นได้ แต่กลั้นน้ำตาช่างยากเย็นเหลือเกิน ความหมางเมินจากครอบครัวสามีว่าเจ็บปวด ทว่าความรู้สึกนั้นน้อยนิดหากเทียบกับความเมินเฉย ไม่ใส่ใจ ไร้ซึ่งความรักจากครอบครัวของตน...ครอบครัวที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เกิด
เป็นความปวดร้าวหัวใจที่มากมายเหลือเกิน เสมือนมีเข็มแหลมคมทิ่มในดวงใจตลอดเวลา ปักลึกลงและลึกลง ลึกลงไปเรื่อยๆ ราวกับว่าความลึกของหัวใจไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่มหาศาลที่สามารถฝังเข็มได้เป็นล้านเล่ม
สาวใช้นำกระเป๋ามาวางไว้กลางห้องนอนห้องใหญ่ที่แยกเป็นสัดส่วน ห้องแต่งตัวอยู่ทางด้านซ้ายมือ ทางด้านขวามือเป็นส่วนดูทีวี มีโซฟาชุดใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนด้านในจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำ
“คุณหมิวจะเก็บเสื้อผ้าเองหรือให้น้อมเก็บให้คะ ตู้ของคุณหมิวอยู่ทางด้านซ้ายค่ะ” น้อมที่รู้จักมักคุ้นกับพรนับพันเอ่ยถาม มองหน้าเจ้านายคนใหม่ที่ในบ้านหลังนี้ไม่ชอบหน้าพรนับพันเลยสักคนด้วยความสงสารและเห็นใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ให้กำลังใจอยู่เงียบๆ
“เดี๋ยวฉันเก็บเองจ้ะ ขอบใจมากนะที่ยกกระเป๋าขึ้นมาให้” พรนับพันตอบกลับ ยิ้มแห้งให้น้อมที่เดินออกไปจากห้องทันทีที่หมดหน้าที่ น้อมออกไปจากห้องไม่กี่อึดใจ ร่างสูงใหญ่ของพีรภัทรได้เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าเขายังคงเป็นเช่นเดิม พรนับพันมองสามีที่เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ไม่ถึงสองนาทีเขาเดินออกมาด้วยชุดลำลอง “พี่พีจะไปไหนคะ”
คนถูกถามหันมามองหน้าเจ้าสาวหมาดๆ ช้าๆ นัยน์ตาแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเต็มที่ พรนับพันเหมือนชาชินกับสายตาแบบนี้ แต่เปล่าเลย เธอเจ็บปวดหัวใจทุกครั้ง
“ทำไม...เธอคงคิดล่ะสิว่า ฉันจะต้องเข้าหอกับเธอ” น้ำเสียงค่อนข้างเข้มห้วน “ฝันไปเถอะ นอนกับเธอไปซื้อกินดีกว่า กระเดือกเธอไม่ลงจริงๆ แค่เห็นหน้าก็จะอ้วก”
เจ็บ...
ช่างเป็นคำพูดที่เฉือนความรู้สึกคนฟังยิ่งนัก พีรภัทรไม่ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อพรนับพันสักนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำพูด สายตาและกิริยาท่าทางของเขาชัดเจนตลอดเวลาว่า...เกลียดเธอเข้าไส้
ปัง...
สิ้นเสียงประตูห้องโครมใหญ่ปิดลง พรนับพันทรุดกายนั่งบนพื้นห้อง เธอหลั่งน้ำตาที่เก็บกักไว้หลายชั่วโมงออกมาอย่างไม่กลั้น ไหล่เธอห่อและโยนไปมาตามแรงสะอื้นไห้ พรนับพันกอดเข่าร้องไห้ ร้องให้กับความทุกข์ ความเสียใจ ความเจ็บปวดที่ต่อจากนี้ คงได้รับมันทุกเมื่อเชื่อวัน
พ้นจากบ้านหลังหนึ่ง...ก็ต้องมาทนทุกข์กับบ้านหลังใหม่ ที่ทุกคนในบ้านต่างไม่ต้องการให้เธออยู่เช่นกัน พรนับพัน หญิงสาวที่มีความหมายของชื่อว่า มากด้วยพร ทว่าพรที่เธอขอนั้นไม่เคยสุขสมหวังเลยสักข้อ พรนับพันหวังลึกๆ ว่า สวรรค์คงเมตตาพรให้ตนสักข้อ แค่ข้อเดียวเท่านั้น
‘ขอให้เธอได้รับความรักจากใครสักคน รักเธอจากใจจริง ขอแค่คนเดียวเป็นพอ’
เป็นความรักที่พรนับพันโหยหาและต้องการมาตลอด เพราะความรู้สึกที่เธอได้รับมีแต่ความเกลียดชัง ไม่ชอบหน้าและรังเกียจ ได้รับมากจนหัวใจดวงนี้บางครั้งแทบทานทนไม่ไหว ซึ่งไม่รู้ว่า ความรักที่ต้องการนั้นจะมีหรือไม่ พรนับพันเฝ้ารอด้วยความหวัง แม้ว่าจะริบหรี่...แต่ก็หวัง
หวังว่าสักวันความหวังนั้นจะเป็นจริง...สักวันหนึ่ง