3
เสียงของชาวบ้านแถวนั้นร้องบอก ทว่าในจังหวะที่เสี่ยวอี้หมุนตัวมามองร่างที่วิ่งพุ่งตรงมาหาเธอ ปลายแหลมของมีดก็มีจุดหมายที่กลางลำตัวของนักเขียนสาว
เสี่ยวอี้ตัวเย็นวาบ
นั่นคือสัมผัสแรกหลังจากที่ปลายแหลมแทงเข้าร่าง
ช่วงเวลาเดียวกัน สมองขาวโพลนไปหมด
เจ็บ
เธออธิบายไม่ได้ มันเสียวแวบขึ้นมา ตามด้วยความกลัว ทั้งตื่นตระหนกสุดขีด
ไม่…ฉันตายไม่ได้
ฉัน... ยังไม่ได้จัดการมู่ชิงเฉินเฮ่อ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาในนิยายอีกหน คราวนี้ฉัน ต้องแย่แน่ๆ เลย ความลับเรื่องลูกแฝดอีก หมอนั้นถึงเป็นเพียงตัวร้ายในนิยาย แต่ก็ตามหลอกหลอนฉันไม่เลิก
หญิงสาวพึมพำกับตนเอง และก่อนสติจะวูบดับ หูเธอได้ยินมือมีดพูดว่า
“จำใส่สมองไว้ซะ องค์ชายสาม จะตายไม่ได้ แก... จะเขียนเรื่องบัดซบยังไงก็เชิญแต่มู่ชิงเฉินอี้ ต้องเป็นอมตะ ไม่ถูกผู้หญิงสาระเลวสวมเขา และเขาต้องเป็นตัวร้าย ที่คนทั้งโลกจดจำตลอดไป ส่วนแก ไปลงนรกเสียเถอะ จากนั้น ฉันจะเขียนนิยายเรื่องนี้แทนเอง ฮิๆ ๆ”
เสียงดังกล่าวเบาลงเรื่อยๆ ยามนี้เสี่ยวอี้รู้แล้วว่า นิยายของเธอ สร้างผลกระทบอันรุนแรงต่อชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะในกลุ่มแอนตี้แฟนคลับ ซึ่งเถิดทูนตัวร้ายของเรื่อง ดังนั้น มู่ชิงเฉินเฮ่อ ย่อมไม่มีวันตาย แต่คนที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ย่อมเป็นพระเอก และนางเอกของเรื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวอี้เป็นคนสร้างตัวร้ายอย่างมู่ชิงเฉินเฮ่อขึ้นมา คนเดียวที่จะยับยั้งเขาได้ คงมีแต่เธอเท่านั้น และหวังว่าจะทำได้สำเร็จ
โลกคู่ขนาน
ดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมตื่นช้าๆ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ใช่ความฝัน ภาพที่ปรากฏให้เห็น คุ้นในจินตนาการ ด้วยเป็นเสี่ยวอี้ สร้างมันขึ้นมาจากความคิดของตนนั่นเอง
ยามนี้หญิงสาวต้องหนาวสะบั้นไปทั้งร่าง ด้วยพอตั้งสติได้ ก็มั่นใจว่าตนเข้ามาอยู่ในโลกนิยายเรื่อง คู่วาสนาด้ายแดงบันดาลรัก ให้ตายเถิด นับจากนี้มันคงไม่อาจเป็นนิยายรัก ที่ชุบชูหัวใจใครได้ ในเมื่อหากให้ทุกอย่างเดินตามเนื้อเรื่องเดิม เสี่ยวอี้หรือก็คือจ้าวหว่านอี้ที่นางมาสวมร่างอยู่ตอนนี้ ชะตาชีวิตคงไม่รอดพ้นถูกมู่ชิงเฉินเฮ่อจัดการอย่างอำมหิต และไม่ใช่เพียงแค่นาง ทั้งสกุลจ้าว เด็กแฝดลูกชู้ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดนาง ล้วนไม่มีใครได้ตายดี ศพไม่ถูกฝัง และนำมากองเป็นภูเขาขนาดย่อมให้สัตว์ป่ากัดกิน
จ้าวหว่านอี้
ใช่... นับแต่นี้นางคือตัวประกอบที่จำต้องพลิกบทบาทของตนเสียใหม่
หญิงสาวขยับตัวช้าๆ เวียนศีรษะมาก กระทั่งฝืนร่างกาย แล้วมองไปยังรูปภาพที่วางบนโต๊ะใกล้ๆ เตียง ทั้งยังมีเครื่องประดับจำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
จ้าวหว่านอี้รวบรวมแรงของตน ก้าวไปดูของบนโต๊ะ ยามนั้นมือนางสั่นเทา ยิ่งพอได้จับภาพวาดขึ้นมาพินิจ นางก็แทบกรีดร้องเสียสติ
ใช่... รูปนี้เป็นเขา ผู้ชายที่นางไม่อาจหลีกหนีพ้น ไม่ว่าชาติก่อน หรือชาติใหม่ในโลกนี้
มู่ชิงเฉินเฮ่อ
ในที่สุดนางก็ต้องเผชิญหน้าเขา แต่ขออย่างเดียว อย่าให้เขารู้ว่านางคืออดีตคนรักในชาติก่อน ไม่อย่างนั้น ชีวิตที่เกิดใหม่ย่อมไม่มีวันจบลงแบบสวยงามแน่นอน
ประตูหน้าห้องเปิดเข้ามา ยามนั้นสาวใช้ประจำตัวดีใจมาก นางร้องไห้ และโผกอดจ้าวหว่านอี้
“คุณหนูฟื้นแล้ว โอ้ และนี่ คุณหนูยอมรับข้อเสนอขององค์ชายสามแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“ข้อเสนอ...”
จ้าวหว่านอี้ถามซินเยว่ ผู้เป็นสาวใช้
“เจ้าค่ะ ก็แต่งเข้าเป็นอนุขององค์ชายสาม บ่าวบอกแล้ว ยังไงเขาก็หล่อเหลา แม้จะเก็บตัวไปหน่อย ทั้งยังมีเรื่องน่ากลัวพูดถึงเขาบ่อยๆ แต่คนผู้นี้ มีกำลังทหารในมือ อีกอย่างตำหนักของเขาอยู่นอกวัง คุณหนูของบ่าวจะได้ไม่อึดอัด ที่สำคัญนะเจ้าคะ องค์ชายสาม ไม่สนใจเรื่องการแย่งชิงบัลลังก์ เช่นนี้คุณหนูของบ่าวย่อมปลอดภัย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในการก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในวังหลัง”
หญิงสาวมองซินเยว่ สาวใช้นางนี้รู้มากเกินไปแล้ว หรือว่านางเป็นแฟนนิยายที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน
“เอ่อ ข้าหลับไปนานเท่าใด”
ซินเยว่เช็ดน้ำตาให้ตน และตอบว่า
“ห้าวันเต็มๆ เจ้าค่ะ แต่อย่ากังวล ใต้เท้าจ้าวปิดข่าว ทั้งกำชับคนที่รู้เรื่องนี้ ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด”
“เสี่ยวเยว่ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใดกันแน่”
ซินเยว่มองไปประตูที่นางก้าวเข้ามา แล้วกระซิบกระซาบกับหญิงสาว
“ยามนี้บ้านเมือง สถานการณ์นับว่ามีการแบ่งขั้วชัดเจน ใต้เท้าจ้าวห่วงความปลอดภัยคุณหนู จึงหาทางให้เกี่ยวดองกับองค์ชายสามให้ไวที่สุด แต่... คุณหนูนั้นไม่เห็นด้วย จึงเอ่อ... คิดหนีลงทางใต้ ไปพร้อมกับลูกชายเจ้าบ้านชุย...”
เมื่อเห็นเจ้านายตนมีสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม ซินเยว่ก็กล่าวให้ละเอียดกว่าเดิม
“ก็คุณชาย ชุยหลิวเป่าอย่างไรเจ้าคะ ฝ่ายนั้นกับคุณหนู คบหากันแบบลับๆ อยู่”
ยิ่งฟังซินเยว่บอก จ้าวหว่านอี้ก็ต้องลูบเนื้อตัวตนเอง โอ้ตัวประกอบที่นางมาสวมร่างนี้ ช่างหาญกล้า ล้อเล่นกับชีวิตตนเองโดยแท้ และนี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ก่อนเข้าตำหนักของมู่ชิงเฉินเฮ่อสินะ
เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวในนิยายที่มีสารพัดเรื่องราวตามมา จ้าวหว่านอี้ขนลุกซู่ๆ