บทที่ 3.(แรกพบสบตา)
สามีปีมะเมีย(สามีปีนักษัตร)
บทที่ 3.(แรกพบสบตา)
เมื่อได้ยืนใกล้ ๆ ไอรินรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าของเธอในขณะนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย ริมฝีปากหยักลึกนั่นบ่งบอกว่าเขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองสูง แต่อาจจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย สังเกตได้จากแววตาคมดุที่แฝงไปด้วยความเย็นชาคู่นั้น
หญิงสาวเกิดอาการประหม่าสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เมื่อถูกเขาจ้องเอา ๆ ไม่วางตา แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองสำรวจอีกฝ่าย เสื้อผ้าของเขาบ่งบอกชัดว่าเป็นชาวไร่ชาวสวน หากแตกต่างตรงที่ดูเนี้ยบเรียบร้อย เนื่องจากผ่านการซักรีดมาอย่างดี รวมไปถึงกลิ่นกายสะอาดสะอ้านแต่เต็มไปด้วยความเป็นบุรษแสนเข้มข้น
หัวใจของไอรินเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก ยามที่สบประสานสายตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูเย็นชาหากแต่เซ็กซี่ของเขา ทั้งที่เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ แต่กลับมีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยเฉพาะตรงท้องน้อยที่ดูเหมือนจะปั่นป่วนกว่าส่วนไหน ๆ
"มองพอหรือยังคุณผู้หญิง ถ้ามองพอแล้ว ก็ตอบมาว่าต้องการอะไร จะเข้าไปในไร่อาชาทำไม?"
เสียงห้าวทุ้มน่าฟังของเขาดังขึ้น ทำให้ไอรินได้สติ ใบหน้าหวานใสแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบมองสำรวจเขาอยู่
"ขอโทษค่ะ"
"มาทำอะไร?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ
คิ้วเข็มเลิกขึ้นสูง ขณะมองสำรวจตรวจตราหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะมาหยุดมองใบหน้าหวานใส มองนิ่ง ๆ เหมือนต้องการค้นหาอะไรสักอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร
"คงไม่ได้หลงทางมาหรอกใช่ไหม?" น้ำเสียงดุเอ่ยถามอีก
"เปล่า... ไม่ได้หลงทางมา แต่มีธุระกับเจ้าของไร่ต่างหาก" ไอรินตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาคมของอีกฝ่าย ซึ่งมันทำให้เธอใจสั่นจนถึงขั้นควบคุมไม่ได้
"มีธุระอะไรกับเขา?" อีกฝ่ายตั้งคำถามอีก จ้องหน้าหญิงสาวเขม็งอย่างรอคอยคำตอบ ราวกับจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า หากไอรินไม่บอกจุดประสงค์ เธอจะไม่มีทางได้เข้าไปในไร่อาชาแน่นอน
"พ่อของฉันบอกให้มาค่ะ พ่อบอกว่าให้มาหาเจ้าของไร่ ยังบอกอีกว่าถ้ามาถึงแล้ว ให้บอกกับเจ้าของไร่ว่าฉันเป็นลูกของพ่อ แล้วเจ้าของไร่จะดูแลฉันอย่างดีที่สุด"
ไอรินตัดสินใจพูดไป ส่วนเขาจะตัดสินใจแบบไหนก็สุดแล้วแต่ เพราะชีวิตของเธอคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว อย่างมากก็แค่กลับกรุงเทพฯ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะตอนนี้เงินที่เหลือติดตัวมีไม่พอค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว
"พ่อของเธอชื่ออะไร?" ไอรินชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่ออีกฝ่ายตั้งคำถามมาอีก ทำอย่างกับว่าถ้าเธอบอกชื่อของบิดาให้เขารับรู้แล้ว เขาจะรู้จักบิดาของเธออย่างนั้นแหล่ะ
"นายไม่รู้จักหรอก พ่อของฉันไม่ใช่คนแถวนี้" หญิงสาวตอบ ไอรินไม่ได้ตั้งใจจะกวนเขา แต่เธอมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดกับเขามากกว่า
"ตอบมา อย่าโยกโย้" น้ำเสียงดุ ๆ ดังขึ้นอีก ไอรินอยากจะเถียงเขานักว่าเธอไม่ได้โยกโย้ แต่เมื่อมองสบดวงตาคมดุคู่นั้น ความกล้าก็พลันหายไปจนหมดสิ้น
"พ่อของฉันชื่อ 'เอนก เอนก ศุภกิจเจริญรัตน์'"
คิ้มเข้มเลิกขึ้นสูง ก่อนขมวดเข้าหากันและคลายออกอย่างรวดเร็ว หากดวงตาของเขายังคงจับจ้องที่ไอรินนิ่งนาน
"ไปขึ้นรถ" ในที่สุดเขาก็อนุญาต ไอรินฉีกยิ้มกว้างรีบหันหลังทำท่าจะก้าวขึ้นรถไปนั่งรวมกับกลุ่มคนงานทันที หากแต่ถูกมือแกร่งดึงรั้งคอเสื้อไว้อีกครั้ง ส่งผลให้หญิงสาวหันกลับมามองค้อน ไม่เข้าใจว่าเขาจะเอาอย่างไรกับเธอกันแน่
"ไปนั่งหน้า" ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากคอเสื้อของหญิงสาว ไม่ใช่เพราะเขาหมดเรื่องจะพูด แต่เป็นเพราะว่าขณะที่เขาดึงคอเสื้อของเธออยู่นั้น ทำให้เสื้อตรงด้านหน้าแนบไปกับลำตัวจนมองเห็นสัดส่วนของหญิงสาวชัดเจน โดยเฉพาะทรวงอกอวบอิ่มคู่นั้น ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มมีอาการหายใจติดขัดขึ้นมาดื้อ ๆ
"ให้ฉันไปนั่งรวมกับพวกเขาก็ได้ค่ะ" ไอรินบอก พร้อมกับชี้นิ้วเรียวสวยไปยังคนงานที่นั่งรวมกันอยู่เต็มกระบะหลังรถ นั่นเพราะเธอไม่อยากทนอึดอัดนั่งคู่ไปกับเขา
"ไปนั่งหน้า อย่าเรื่องมาก" เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเอาเรื่อง และเมื่อหญิงสาวยังยืนเฉย ร่างสูงจึงเดินเข้าหาอย่างคุกคาม ราวกับจะบอกว่า หากเธอไม่ยอมขึ้นไปเองแต่โดยดี เขานี่แหล่ะจะอุ้มเธอขึ้นรถไปเอง
"ก็ได้! นั่งหน้าก็นั่งหน้าสิ ไม่เห็นต้องทำท่าทางแบบนี้เลย" พูดจบไอรินก็สะบัดหน้าให้เขา ก่อนจะเดินจ้ำ ๆ ไปขึ้นรถ เปิดและปิดประตูรถเสียงดังจนสั่นสะเทือนไปทั้งคัน
ชายหนุ่มถึงกับส่ายหัวให้กับอาการของหญิงสาว หากเรียวปากหยักสวยกลับยิ้มกริ่มอย่างถูกใจ เหมือนม้าพยศแบบนี้ เห็นทีต้องออกแรงปราบกันสักตั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวไปประจำที่คนขับ และออกรถมุ่งหน้ากลับเข้าไร่อาชาทันที
และคนที่แสดงอาการว่าไม่อยากนั่งหน้ามากับเขานั้น พอเจอความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถ บวกกับเมื่อคืนไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืนก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
จนกระทั่งรถกระบะสี่ประตูยกสูงขับเข้ามาจอดสนิทบริเวณไร่ที่เต็มไปด้วยต้นส้ม คนงานต่างพากันทยอยลงจากรถและรีบนำอาหารที่ซื้อมาไปเก็บยังเรือนพักของตน และเตรียมตัวเพื่อจะออกมาทำงานตามหน้าที่
หากหญิงสาวที่หลับลึกอยู่ด้านข้างคนขับนั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา ซึ่งชายหนุ่มผู้ที่ทำหน้าที่คนขับก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดือดร้อน เขานั่งเฉยพร้อมกับใช้นิ้วแกร่งเคาะเป็นจังหวะกับพวงมาลัยรถ ขณะที่เรียวปากหยักสวยฮัมเพลงเบา ๆ อย่างรอคอย
กระทั่งไอรินสะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกได้ว่ารถไม่ได้กำลังเคลื่อนอยู่บนนถนน เธอหันมองรอบ ๆ ตัว พบว่าตอนนี้คนงานลงจากรถไปหมดแล้ว เธอจึงหันกลับมายังคนข้าง ๆ ที่กำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก และมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
ไอรินมองอีกฝ่ายด้วยแววตาตื่นกลัว ขยับตัวหนีจนชิดประตู พยายามจะเปิดมันแต่เปิดไม่ออก เพราะประตูถูกล็อคจากฝั่งคนขับ
"ไม่ต้องทำท่าทางรังเกียจขนาดนั้นหรอก โตจนเป็นสาวสะพรั่งขนาดนี้แล้ว ทำท่าเหมือนไม่เคยอยู่กับผู้ชายสองต่อสองไปได้"
"ก็ไม่เคยน่ะสิ! โดยเฉพาะผู้ชายไม่น่าไว้ใจแบบนายยิ่งไม่เคย รู้ไว้ด้วย!" ไอรินพูดอย่างเอาเรื่อง ขณะที่มือก็พยายามเปิดประตูแต่ไม่เป็นผล
"ไม่น่าเชื่อ ว่าผู้หญิงจากเมืองกรุงที่รักนวลสงวนตัวจะยังมีหลงเหลืออยู่" เขาพูดยิ้ม ๆ แต่เป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แฝงไปด้วยความหมายหลากหลายที่ไอรินอ่านไม่ออก จนหญิงสาวนึกอย่างหาอะไรมาเขวี้ยงหน้าหล่อ ๆ ของเขานัก
"เชื่อเถอะ แต่ถึงนายจะไม่เชื่อ นั่นมันก็เป็นปัญหาของนาย เพราะต่อให้ฉันจะรักนวลสงวนตัวหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องของนายเลยสักนิดเดียว" ไอรินเชิดคอแข็ง มองอีกฝ่ายตาขุ่นขวาง
"ให้ฉันลงจากรถเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันฟ้องพ่อเลี้ยงศรันจริง ๆ ด้วย" หญิงสาวขู่ฟ่อ เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้ในทันที
"จะฟ้องเขาเรื่องอะไร?"
"ก็เรื่องที่นายทำตัวไร้มารยาทกับฉันอยู่นี่ไง ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็ปลดล็อคประตูเดี๋ยวนี้!" ไอรินกล่าวสำทับอีก เธอคิดว่าเขาอาจจหวาดกลัวอยู่บ้างหากได้ยินชื่อพ่อเลี้ยงศรันเจ้าของไร่นี้ แต่เปล่าเลยเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลดเลยสักนิดเดียว
"จะพาไปหาพ่อเลี้ยงศรันก็ได้ แต่ต้องพูดดี ๆ ก่อน พูดจาไม่น่ารักแบบนี้ทำใจพาไปไม่ลง กลัวพ่อเลี้ยงปวดหัว"
เขาแกล้งพูดยั่ว ยิ่งเห็นใบหน้าหวานใสเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวก็ยิ่งสนุก
"นายไม่ต้องมาคิดแทนพ่อเลี้ยงหรอก ฉันไม่ทำให้ใครปวดหัวถ้าคน ๆ นั้นจะไม่ทำตัวไร้มารยาทกับฉันก่อน และฉันก็แน่ใจด้วยว่าคนอื่นเขาไม่เป็นแบบนายแน่"