บทที่ 4
ฝู่หนานเซิงกับเซี่ยหลิวจืงรีบพุ่งเข้ามาพร้อมกัน คว้าตัวหลินยวนเอาไว้ก่อนที่นางจะกระแทกลงไป
“อย่าดึงข้า! ปล่อยให้ข้าตายเถอะ!”
“แม่ทัพมู่ต่างหากคือผู้ที่ฝ่าบาททรงรักสุดหัวใจ ข้าก็เป็นเพียงเงาไว้บรรเทาพระทัยเท่านั้นเอง”
นางร่ำไห้อย่างปวดร้าวรุนแรง ราวหัวใจถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ
ฝู่หนานเซิงและเซี่ยหลิวจืงก็หันขวับมามองข้าด้วยสายตากล่าวโทษรุนแรงพอกัน
ประหนึ่งว่าข้านี่แหละ เป็นผู้บีบให้หลินยวนต้องเอาชีวิตเข้าแลกอย่างนั้น
ข้าในใจอดขำไม่ได้ ทว่าบนใบหน้ากลับจ้องหลินยวนอย่างไม่กะพริบ แล้วเอ่ยถามว่า
“ตัวแทนงั้นหรือ?”
“เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
ใบหน้าที่เคยอ่อนหวานน่าสงสารของนาง เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวในพริบตา
“พอเถอะ มู่เทียนเกอ! เจ้าอย่าล้ำเส้นนักเลย!”
“เฉินเฟยเป็นคนของฝ่าบาท เจ้าดูหมิ่นนางเช่นนี้ แล้วจะให้ฝ่าบาททรงอยู่ในฐานะใดกัน!”
ข้าก้าวตรงไปหาฝู่หนานเซิง เงื้อแขนขึ้นฟาดเสียงดัง เพียะ! แรงจนเขาเซถลา เกือบล้มคว่ำลงกับพื้น
“เมื่อครู่เจ้าล่วงเกินต่อข้า ข้ายังเห็นแก่เป็นความผิดครั้งแรก จึงผ่อนปรนให้!”
“แต่ครั้งเดียวก็ถือว่ามากพอ มีครั้งแรกย่อมไม่ให้มีครั้งที่สอง ลงโทษตัวเองเสียเถิด ตบหน้าตัวเองจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด ก่อนข้าจะเอ่ยว่า ‘พอ’ ห้ามหยุดเด็ดขาด!”
ฝู่หนานเซิงเบิกตาค้าง ก่อนจะคำรามด้วยโทสะสุดขีด
“เจ้ากล้าตีข้าอย่างนั้นหรือ!?”
“ทำไมไม่กล้าหรือ? เมื่อก่อนข้าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งสามกองทัพ ส่วนเจ้าเป็นเพียงที่ปรึกษาการศึก บัดนี้ข้าเป็นฮองเฮา ส่วนเจ้าเป็นเพียงขุนนางใต้เบื้องพระยุคลบาท!”
“จงรู้ให้ชัดว่าเจ้าอยู่ในฐานะใด!”
ริมฝีปากเขาสั่นระริก ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความอับอายและเดือดดาล
“ยังจะยืนอึ้งอยู่อีกหรือ? หรือว่าให้ข้าส่งคนไปทำแทนเจ้า?”
ข้าเร่งเร้าเสียงเย็นชา
เซี่ยหลิวจืงรีบก้าวออกมาขวางกลาง เอ่ยประนอมว่า
“เทียนเกอ เจ้าอย่าตระหนกโกรธนักเลย หนานเซิงเพียงรับยวนเอ๋อร์เป็นน้องสาวบุญธรรม ที่เขาปกป้องนางรุนแรงเช่นนี้ ก็เพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องเท่านั้น”
“หนานเซิง ยังไม่รีบขอขมาฮองเฮาอีกหรือ!”
ใบหน้าฝู่หนานเซิงยิ่งหม่นหมองเหมือนถูกตบต่อหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องกล้ำกลืนความอัปยศ ก้มตัวถวายคำนับต่อข้า
“ข้ามีความล่วงเกินหลายประการ ขอฮองเฮาเหนียงเหนียงได้โปรดประทานอภัย!”
ข้าแค่นหัวเราะเย็น แล้วหันไปมองหลินยวน
“เฉินเฟยใช่หรือไม่?เมื่อก่อนที่ข้ามิได้อยู่ในวังหลัง ได้ยินมาว่าเจ้าคือผู้ดูแลกิจการหกตำหนักทั้งปวง แล้วเหตุใดมารยาทพื้นฐานของตนเองยังศึกษาไม่แจ้งชัดกันเล่า?”
“สายฟ้าฝนโปรย ล้วนคือพระเมตตาจากองค์เหนือหัว ถ้านางสนมกระทำอัตวินิบาต ถือเป็นความอหังการยิ่งนัก โทษนั้นมิใช่แค่ตัวเจ้า หากยังอาจลามไปถึงตระกูลของเจ้าอีกด้วย”
“ได้ยินว่าบิดามารดาและพี่น้องของเจ้ายังอยู่พร้อมหน้า เจ้าก็ควรหวงแหนชีวิตตนไว้ให้ดีเพื่อพวกเขา”
ข้ากระชากแขนประคองนางขึ้นจากพื้น แรงที่ใช้หนักกว่าปกติเพียงเล็กน้อย
นางเป็นผู้พรากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้าไป หนี้เลือดนี้ ข้าย่อมทวงคืนเป็นทวีคูณ
ดูเหมือนนางจะฟังรู้ความหมายในคำขู่นั้น ใบหน้าจึงซีดเผือดลงทันที
ส่วนเซี่ยหลิวจืงกลับไม่เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของข้า เพียงเห็นว่าข้ามิได้กดขี่หลินยวน ก็พยักหน้าให้ข้าอย่างโล่งพระทัย
ข้าหันกลับไปมองฝู่หนานเซิงอีกครั้ง
“มหาเสนาบดีฝู่ เจ้าล่วงเกินต่อเบื้องพระพักตร์ ข้ายังอาจให้อภัยได้”
“แต่เจ้ากลับเอื้อมมือมายุ่งกับวังหลังของฝ่าบาท นั่นย่อมเกินขอบเขตของขุนนางอย่างเจ้าแล้ว”
“ที่ข้าลงโทษ ก็เพื่อให้เจ้าจำใส่ใจไว้ให้ลึก”
“ฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นหรือไม่เพคะ?”
เซี่ยหลิวจืงเหลือบตามองฝู่หนานเซิงแวบหนึ่ง สีหน้าของพระองค์ก็พลอยมืดครึ้มตามไปด้วย
ร่างของฝู่หนานเซิงโงนเงนอยู่สองครั้ง ก่อนจะรีบรุดทรุดเข่าลง
“ข้าเพียงเป็นห่วงเฉินเฟยเหนียงเหนียงเกินไป หาได้มีใจล่วงเกินไม่”
เซี่ยหลิวจืงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฮองเฮากล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าว่าจะลงโทษอย่างไรก็ทำตามนั้นเถิด!”
สีหน้าฝู่หนานเซิงจึงดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม
หลินยวนทำท่าละห้อย อยากจะเอ่ยห้ามก็ไม่กล้า ท้ายที่สุด นางก็เพียงต้องการให้พี่ฝู่เห็นใจนาง มิได้อยากเสียสละตนจนทำให้เซี่ยหลิวจืงพิโรธ
ข้ายกยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยว่า
“เช่นนั้น ก็ลงโทษให้มหาเสนาบดีฝู่คุกเข่าอยู่ที่นี่จนถึงเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เช่นนี้ ไม่เกินเลยดอกนะ?”
ฝู่หนานเซิงผู้เคยเป็นคนหยิ่งทะนงที่สุด บัดนี้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในหมู่ขุนนาง โทษนี้ต่อเขายิ่งกว่าตบตีเสียอีก ราวลงดาบใส่ศักดิ์ศรีเป็นร้อยเท่า
