บทที่ 5
“เทียนเกอ เจ้าอย่าให้โทสะทำร้ายกาย เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด อีกสามวันต่อจากนี้
ข้าจะเปิดพระราชพิธีเลี้ยงใหญ่ ประกาศต่อทั่วหล้า เชิญฮองเฮาเสด็จคืนราชสำนัก!”
เซี่ยหลิวจืงเอื้อมมาประคองมือข้าไว้ราวจะปลอบประโลม
ครั้งนี้ ข้ามิได้หลบเลี่ยง
สีหน้าของหลินยวนซีดกว่ากระดาษหลายส่วน
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ข้าเสด็จกลับวัง เซี่ยหลิวจืงจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับเหล่าขุนนางทั้งราชสำนัก
บรรดาเสนาบดีและวงศ์ตระกูลต่างพากันมาร่วมงานครบถ้วน ล้วนอยากเห็นกับตาตนเองว่า “จักรพรรดิมีจันทร์ขาวในดวงใจ” นางนี้มีโฉมงามเพียงใด
ทว่าผู้ที่ยินดีกับข้าอย่างแท้จริงกลับมีไม่มากนัก
สองปีที่หลินยวนครองความโปรดปราน ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็อาศัยประจบนางเพื่อติดปีกให้ตนเอง
ผู้ที่ใกล้ชิดกับฝู่หนานเซิงก็ยิ่งมีใจขุ่นข้องกับข้าเป็นพิเศษ
ใครใช้ให้ข้าเพียงกลับวังได้ไม่ทันไร ก็ทำให้ฝู่หนานเซิงเสียหน้าเสียยศจนหมดรูปเล่า?
ผู้ที่ปลื้มปิติมากที่สุด เห็นจะเป็นเหล่านางในแห่งวังหลังนี่เอง
ตลอดสองปีที่หลินยวนอยู่ในวังหลัง ชีวิตของพวกนางล้วนขมขื่นนัก
ข้าเพียงกลับมาไม่นาน ก็ทำให้หลินยวนเสียหน้า พวกนางจึงรู้สึกสะใจ ราวได้ถอนลมหายใจที่อัดอั้นมานาน
ข้านั่งอยู่ด้านซ้ายของเซี่ยหลิวจืง ตำแหน่งนี้ เมื่อก่อนมีเพียงหลินยวนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นั่ง
ส่วนงานเลี้ยงในวันนี้…ไม่รู้ว่าเซี่ยหลิวจืงตั้งใจหรือเพียงบังเอิญ แต่ที่นั่งของหลินยวนกลับถูกจัดไว้ไกลลิบ อยู่เสียจนแทบแตะเงาของพระองค์ไม่ได้เลย
นางเอาแต่มองข้ากับเซี่ยหลิวจืงด้วยแววตาน้อยใจไม่หยุด ยกสุราขมดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าเพื่อกลบความอัดอั้นในอก
บรรดาผู้ที่เคยประจบเอาใจนางในอดีต ยามนี้ต่างพากันหันมาสรรเสริญเยินยอข้าแทน
หลังจากเหล่าขุนนางถวายจอกสุราจนครบถ้วนแล้ว เซี่ยหลิวจืงก็จับมือข้าแน่น เอ่ยถ้อยคำลึกซึ้งว่า
“เทียนเกอกับข้ารู้จักกันมาตั้งแต่วัยยังเยาว์ ร่วมผ่านความเป็นความตายนับครั้งไม่ถ้วน
วันนี้นางกลับมาปลอดภัย คือความเมตตาจากสวรรค์ที่โปรดปรานข้าและโปรดปรานแคว้นต้าเซี่ยนี้”
“ข้าเพียงปรารถนาให้ข้ากับเทียนเกอ จิตใจผสานเป็นหนึ่งดั่งคู่ชีวิต…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบประโยค หลินยวนก็พ่นเลือดออกมาในฉับพลัน ร่างทรุดฟุบลงกับโต๊ะ
เซี่ยหลิวจืงไม่ทันคิดแม้เสี้ยวอึดใจ ก็สลัดมือข้าออก รีบพุ่งเข้าไปหานางทันที
“ยวนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป!?”
หลินยวนกุมอกแน่น
“ฝ่าบาท…ข้า…หัวใจของข้า…เจ็บเหลือเกิน…”
เอ่ยจบไม่นาน นางก็หมดสติร่วงลงไปในอ้อมแขนของเซี่ยหลิวจืง.
ข้าไม่เคยเห็นเซี่ยหลิวจืงตระหนกจนสิ้นหนทางเช่นนั้นมาก่อน
เขาอุ้มหหลินยวนไว้แน่น แล้วคำรามลั่นด้วยความตระหนกแตกกระจายว่า
“หมอหลวง! หมอหลวงอยู่ไหน——รีบรักษานาง! ช่วยนางเดี๋ยวนี้!”
หลินยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงเหลือทน ยกมือขึ้นลูบคิ้วตาของเซี่ยหลิวจืงเบาๆ ราวกับจะสูดลมหายใจสุดท้าย
“ฝ่าบาท…หากหม่อมฉันตายไป ฝ่าบาทจะทรงคิดถึงข้า เหมือนที่ทรงคิดถึงนางหรือไม่…”
ดวงตาของเซี่ยหลิวจืงแดงก่ำทันที ราวคนกำลังจะสูญเสียของรักยิ่งกว่าชีวิต
“เจ้าไม่ตายหรอก ยวนเอ๋อร์…เจ้าอย่าได้ตาย เจ้าอย่าทิ้งข้าไป!”
หลินยวนหลั่งน้ำตาอย่างงดงามยิ่ง เสียงสะอื้นแผ่วโศกจับใจ
“แต่ฝ่าบาท…หมอเทพเคยตรัสไว้ว่า หากโรคของหม่อมฉันกำเริบอีก เว้นแต่จะเปลี่ยนหัวใจ…หาไม่แล้วก็ไม่มีทางรอด”
“แล้วจะไปหาหัวใจของสตรีที่มีชะตาสุริยัน ดังที่หมอเทพกล่าวไว้ได้จากที่ใดเล่าเพคะ?”
ขณะที่เอ่ยถ้อยคำ นางก็เหลือบหางตาลอบมองมาทางข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ข้าผุดนึกถึงคำที่นางเคยกระซิบก่อนงานเลี้ยงไม่นานว่า
“มู่เทียนเกอ เจ้าคิดหรือว่าฝ่าบาทรักเจ้าจริง?”
“เจ้าจะเชื่อไหมแค่ข้าขมวดคิ้วนิดเดียว เขาก็พร้อมจะควักหัวใจเจ้ามาให้ข้าแล้ว?”
ที่แท้ นางกำลังรอจังหวะนี้เอง
ข้านิ่งเฉยไร้แววอารมณ์ เพียงเฝ้ามองทั้งสองเล่นละครรักอันน่าขบขันให้จบสิ้นไปเอง
เซี่ยหลิวจืงยังจมอยู่ในความทุกข์ คิดว่าคนที่ตนรักกำลังจะตายต่อหน้าต่อตา จึงไม่ฟังความนัยที่หลินยวนสื่อออกมาเลย
เขาเอ่ยทั้งสะอื้นว่า
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย และจะไม่ยอมให้เจ้าไปจากข้าเป็นอันขาด”
หลินยวนก็พ่นเลือดออกมาอีกระลอก
“แต่ว่าฝ่าบาท…ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ต้องการยวนเอ๋อร์แล้วนี่เพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จกลับมาแล้ว…”
“ข้างกายฝ่าบาท…ไม่มีที่ให้ยวนเอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว…”
“นี่คงเป็นชะตากระมัง สวรรค์ส่งฮองเฮาเหนียงเหนียงคืนมาให้ฝ่าบาท ส่วนยวนเอ๋อร์…ก็ควรล่าถอยอย่างสง่างามแล้วเพคะ…”
คำพูดนั้นทำให้ร่างของเซี่ยหลิวจืงสะท้านวาบ เขาหันขวับกลับมาดวงตาแดงก่ำจนเส้นเลือดปูด มองข้าตรงๆ
และในแววตาคู่นั้น ความอาฆาตพยาบาทชัดเจนจนไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย
