บทที่ 9 ไม่ได้กินอิ่มนานแล้ว
เมื่อถึงบ้านซูเสี่ยวหว่านก็ตรวจดูบาดแผลของเสี่ยวหานก่อน
การรักษาตัวเองของเด็กนั้นเร็วมาก ยาที่หมอคนนั้นให้มาก็ค่อนข้างได้ผลดี แค่เวลาเพียงวันเดียวแผลบนแขนของเสี่ยวหานก็หายดีขึ้นเยอะแล้ว
เปลี่ยนยาให้เสี่ยวหานเสร็จจากนั้นก็เริ่มทำอาหาร
"หลิงเอ๋อร์ เจ้ากินข้าวก่อนค่อยกลับไปเถอะนะ ตอนนี้เลยเวลากินข้าวแล้วเจ้ากลับไปก็ไม่มีอะไรให้กิน รอข้าครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"
ซูหลิงแอบร้อนใจเล็กน้อย "แต่ว่าตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้วนะ"
"เจ้าบื้อ ยังไงเจ้าก็ไม่ได้กลับไปทั้งวันแล้ว กลับไปตอนนี้กับกลับไปดึกกว่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก"
ซูหลิงครุ่นคิด ก็ถูก ไม่ว่ายังไงกลับไปตอนนี้หรือสายกว่านี้ก็ต้องถูกด่าเหมือนกัน ไม่ต่างอะไร
ซูเสี่ยวหว่านหยิบไข่ไก่ป่าออกมาตอก ตีไข่แล้วใช้น้ำมันทอด กลิ่นหอมลอยออกมาทันที
เสี่ยวหานกับหลิงเอ๋อร์จ้องกระทะไม่วางตาอยู่ข้าง ๆ กลืนน้ำลายไม่หยุด
อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย แม้แต่ซูเสี่ยวหว่านเองก็เริ่มน้ำลายสอแล้วเหมือนกัน
"ท่านพี่ เจ้า..."
"เจ้าจะบอกว่าไข่ไก่ป่าที่ล้ำค่าขนาดนี้กินทีเดียวสองฟองมันสิ้นเปลืองมากเกินไปอีกแล้วใช่ไหม?" ซูเสี่ยวหว่านมองนางออกทันที
แม้ซูหลิงจะจ้องกระทะจนน้ำลายสอ แต่ใบหน้ายังคงมีแต่ความรู้สึกเสียดายแล้วพูดพึมพำเสียงเบา "ใช่น่ะสิ สิ้นเปลืองมากเลย"
"ในบ้านไม่ปลอดภัย พวกซูถงจะมาหาเรื่องเมื่อไหร่อีกก็ไม่รู้ ถ้าพวกนางเห็นเข้าพวกเราจะยังมีกินอีกไหม"
ซูเสี่ยวหว่านได้ใช้วิธีนี้ปลอบใจซูหลิง ถึงแม่นางจะรู้ดีว่าพอเกิดเรื่องราวอย่างเมื่อวานขึ้น พวกซูถงคงไม่กล้าและไม่มีจิตใจจะมาในเร็ว ๆ นี้แน่นอน
เมื่อซูหลิงได้ยินแบบนี้สีหน้าก็เปลี่ยนทันที "ก็ถูก ถ้าให้พวกนางพบเข้าล่ะก็เสียดายของแย่แน่"
ซูเสี่ยวหว่านไม่พูดอะไรอีกต่อไปแล้วทำกับข้าวอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
อันที่จริงการทำซุปเห็ดหูหนูไข่น้ำควรต้องผัดต้นหอมให้หอมก่อนค่อยใส่เห็ดหูหนูตาม แล้วค่อยตอกไข่ใส่ถึงจะดี
แต่ตอนนี้ไม่มีต้นหอม ซูเสี่ยวหว่านจึงได้แต่ผัดไข่ไก่ก่อนเพิ่มความหอม
เติมน้ำ ใส่เห็ดหูหนูแล้วก็ใส่ผักป่าอีกเล็กน้อย โรยเกลือตอนตักออกจากหม้อ กลิ่นหอมฟุ้ง
เสี่ยวหานกับซูหลิงรอไม่ไหวแล้ว เมื่อตักซุปออกหม้อก็รีบมามุงล้อมข้าง ๆ โต๊ะอย่างอดใจไม่ไหว
ไม่นานทั้งสามคนก็จัดการซุปหมดไปหนึ่งชามใหญ่ บวกกับแผ่นแป้งหยาบที่จางต้าซานเอามาให้อีกหลายแผ่น
เสี่ยวหานกินจนพุงป่อง "ท่านแม่เก่งมากเลย เสี่ยวหานไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย"
นาน ๆ ทีซูหลิงจะได้กินข้าวอิ่ม นางนั่งอยู่บนเตียงเตาไม่อยากขยับ "ท่านพี่ ข้าลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าครั้งที่แล้วที่ข้ากินอิ่มคือเมื่อไหร่"
ซูเสี่ยวหว่านมองซูหลิงราวกับเห็นตัวเองเมื่อชาติก่อนตอนอายุสิบกว่าขวบ สถานเด็กกำพร้าที่นางอยู่เมื่อตอนนั้นฐานะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คุณครูที่ดูแลพวกเขานั้นดีกับเขามาก แต่ไม่ได้มีกำลังพอที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องที่พวกเขากินไม่อิ่มได้
"ไม่ต้องห่วงนะ วันหลังพี่จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องอดอยากอีกต่อไปแล้ว" ซูเสี่ยวหว่านตักน้ำอุ่นให้ซูหลิงหนึ่งช้อน "เป็นผู้หญิงกินน้ำดิบน้อย ๆ "
ซูหลิงพยักหน้า "อื้อ ถ้าข้ามีโอกาสจะดื่มน้ำต้มสุกให้มาก ๆ "
นั่งต่อสักพักซูเสี่ยวหว่านก็ให้ซูหลิงเอาผักป่ากลับไปเยอะ ๆ หน่อย ซูหลิงไม่พอใจทันที
"ไม่เอา! พวกเจ้าแทบจะไม่มีกินอยู่แล้วจะเอากลับไปให้พวกเขาทำไม ผักป่าตากแห้งที่นู่นยังมีอีกตั้งเยอะแยะ"
"เจ้าออกมานานขนาดนี้ ถ้าไม่เอาของกลับไปสักหน่อยเดี๋ยวพวกเขาก็ด่าเจ้าอีก"
เมื่อซูเสี่ยวหว่านนึกถึงหน้าของเฉาซื่อก็รู้ว่าซูหลิงจะต้องเจอกับอะไร
"ด่าก็ด่าสิ ไม่ถึงกับตายสักหน่อย ข้าก็บอกว่าข้าไปเก็บผักป่าเอา เพราะตอนนี้ผักป่าเก็บยากก็เป็นความจริงอยู่แล้วใคร ๆ ก็รู้กันหมด"
ในใจของซูเสี่ยวหว่านทั้งจนปัญญาทั้งอุ่นใจ "เจ้าบื้อ วันนี้เจ้าเอากลับไปเยอะหน่อยวันหลังพวกเขาจะได้ยอมให้เจ้าออกมายังไงล่ะ ไม่อย่างนั้นวันหลังเจ้าจะมายังไง จะยอมโดนด่าโดนทำโทษทุกวันเหรอ"
"แต่ว่า..."
"ไม่ต้องแต่ว่าแล้ว เมื่อเจ้ากลับไปก็บอกไปว่าเจ้าเข้าป่าไปก็เลยเก็บผักป่าได้มากขนาดนี้ วันหลังรับรองว่าพวกเขายอมให้เจ้าออกมาแน่ อีกทั้งยังไม่มีคนตามเจ้ามาด้วย เข้าใจหรือยัง?"
ซูหลิงไม่พอใจมากแต่ก็ยังหิ้วผักครึ่งตะกร้ากลับไป
พึ่งก้าวขาข้างหนึ่งเข้าเรือนบ้านเฉาซื่อก็พุ่งเข้ามาอย่างฉุนเฉียวแล้วชี้หน้าด่าซูหลิง "ตัวผลาญเงิน หายหัวไปไหนมา! ไม่เห็นหัวเลยทั้งวัน! ที่บ้านมีงานต้องทำเยอะแค่ไหนไม่รู้เหรอ! วัน ๆ สักแต่จะออกไปตะลอนข้างนอก!!"
เมื่อวานเฉาซื่อแพ้ให้กับซูเสี่ยวหว่าน เมื่อเห็นใบหน้าของซูหลิงที่คล้ายคลึงกับซูเสี่ยวหว่านก็หงุดหงิดสะสม
ยังไม่ทันรอให้ซูหลิงได้พูดอะไรเฉาซื่อก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย "ยืนบื้อเป็นไม้อยู่ตรงนี้ทำไม! ยังไม่รีบไปช่วยงานในครัวอีก!"
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นซูหลิงมองค้อนใส่นาง "ไม่ได้ยินที่ป้าสะใภ้สามเจ้าพูดรึยังไม่เข้าครัวอีก! ให้ข้าวกินทุกวันแล้วยังไม่รู้จักช่วยทำงานอีก สักแต่จะออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก!"
ซูหลิงวางตะกร้าไม้ไผ่บนหลังลง "ข้าไม่ได้เที่ยวเตร่ ข้าไปขุดหาผักป่า"
"ขุดหาผักป่าอะไร!" เฉาซื่อไม่แม้แต่จะมองตะกร้าสักนิดก็จ้องซูหลิงตาถลน "ข้างนอกนี้มีผักป่าอีกซะที่ไหน เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ!"
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน "เลิกปากแข็งได้แล้ว รีบไปช่วยเก็บกวาดในครัวเดี๋ยวนี้"
"ข้าไปขุดหาผักป่ามาจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อพวกท่านก็ดูสิ!"
ซูหลิงเปิดผ้าบนตะกร้าไม้ไผ่ออก ผักป่าครึ่งตะกร้าปรากฏต่อหน้าทั้งสองคน
ฮูหยินผู้เฒ่าและเฉาซื่ออึ้งกันหมด สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เฉาซื่อตอบกลับเร็วกว่า ชำเลืองมองซูหลิงตาขวาง "ก็แค่ขุดหาผักป่าแค่นี้เอง ได้ของกลับมาแค่นี้ยังไม่พอให้เจ้ากินเองเลย"
ซูหลิงรู้สึกน้อยใจ นางกับป้าสะใภ้ใหญ่ออกไปทั้งวันยังหาผักป่าไม่ได้มากเท่านี้เลย แต่กลับถูกหาว่าได้มาแค่นี้เอง
แม้จะคิดแบบนี้ในใจแต่ก็ไม่กล้าเถียง ได้แต่เดินเข้าไปในห้องครัว
อาหารกินหมดไปนานแล้ว เมื่อเห็นซูหลิงเข้ามาในครัว หวังซื่อ ป้าสะใภ้ใหญ่เห็นว่าเฉาซื่อไม่ได้ตามมาก็หยิบข้าวต้มถ้วยหนึ่งออกมาจากในตะกร้าไม้ไผ่ข้าง ๆ ที่ถูกปิดด้วยผ้า "เหลือแค่นี้แล้ว มียังดีกว่าไม่มี กินเสร็จก็เก็บฝืนพวกนั้นซะ"
พูดจบหวังซื่อก็เดินออกไป
ซูหลิงมองข้าวต้มถ้วยนั้น ในนั้นไม่มีแม้แต่ข้าวสักเม็ด
ยังดีที่วันนี้นางกินอิ่มมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงหิวจนนอนไม่หลับแน่นอน
เพียงแต่ว่าซูหลิงยังไม่ทันได้กินข้าวต้มถ้วยนี้ด้วยซ้ำ
พึ่งกำลังจะกินก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
ซูหลิงรีบยัดข้าวต้มครึ่งถ้วยนั้นกลับไปในตะกร้าที่มีผ้าปิดเอาไว้ พึ่งซ่อนเสร็จเฉาซื่อก็เดินเข้ามา
"ไปตากผักป่าที่เก็บกลับมาซะ วางไว้ตรงนั้นจะรอให้มันเน่าเสียรึไง! ตัวผลาญเงิน"
ซูหลิงงงเล็กน้อย "แต่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ให้ข้าเก็บฝืนให้เรียบร้อย"
"เก็บอะไร ตากผักป่าเสร็จค่อยมาเก็บ ฝืนมันเสียได้รึไง!"
เมื่อออกจากห้องเก็บฝืนก็เห็นคนในบ้านล้วนกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในลานบ้าน
หวังซื่อมองนาง "เสี่ยวหลิง ผักป่าพวกนั้นเจ้าไปขุดหามาจากที่ไหนเหรอ?"
"ข้าเข้าไปในป่ามา"
"ในป่า!" ป้าสะใภ้ใหญ่อึ้งเล็กน้อย "ในนั้นมีงูพิษเชียวนะ หลายวันก่อนยังมีคนถูกกัดเลย เจ้าเข้าไปข้างในได้ยังไง!"
"โอ๊ย นางเต็มใจอยากไปเองเจ้าจะไปสนใจทำไม" เฉาซื่อมองค้อนใส่ซูหลิงอย่างรำคาญใจ "ยังไม่รีบไปตากผักป่าอีก!"
"แล้วรุ่นสางพรุ่งนี้ข้ายังต้องไปขุดหาผักป่าอีกไหม?"
ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยสีหน้านิ่งไร้อารมณ์ "โตขนาดนี้แล้วเรื่องแค่นี้ยังต้องถามพวกข้าอีกเหรอ? คิดเอาเองก็แล้วกัน"
ท่าทางของหวังซื่อเหมือนจะเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นสายตาของเฉาซื่อก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ซูหลิงเตรียมจะแผ่ผักป่าออก ฝนเม็ดหนึ่งก็ตกลงมาบนหลังมือ