บทที่ 7 สร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว
นางทะลุมิติมาจริง ๆ เหรอ?
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมาก ๆ แต่ก็รู้ว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องยอมรับความจริง
เนื่องด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้า ซูเสี่ยวหว่านรู้ว่าคนที่นางสามารถพึ่งพาได้มีแค่ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยรู้สึกเศร้าตัดพ้อสักเท่าไหร่ เศร้าตัดพ้อไปก็เท่านั้น สุดท้ายตอนที่แก้ปัญหาก็ต้องออกโรงเองอยู่ดี
ไม่มีแรง ไม่อยากลุก แต่นอนไปก็ไม่สบายตัว
เตียงเตาแข็งเกินไป มีบาดแผลบนตัวอีก นอนไม่ขยับก็แข็งจนเจ็บไปทั้งตัว
ซูเสี่ยวหว่านก็เคยลำบากมาก่อน เคยนอนเต็นท์ เคยนอนบ้านต้นไม้ที่สร้างง่าย ๆ บนต้นไม้ในชุมชน เคยนอนแม้กระทั่งในรถแทรกเตอร์ด้วยซ้ำ แต่เงื่อนไขที่ลำบากอย่างวันนี้นั้นนางไม่เคยประสบมาก่อนจริง ๆ
ตอนนี้นางรู้สึกโชคดีมากที่ตนเป็นเด็กคณะเกษตรศาสตร์ เมื่อก่อนทำงานหนักมาไม่น้อย ถ้าเป็นพนักงานบริษัททะลุมิติมาล่ะก็คงอดตายไม่ก็เหนื่อยตายไปแล้ว
เงินสิบกว่าเหรียญที่จางต้าซานให้ไว้ตอนไปหาหมอซื้อยาก็ใช้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือถ้าเอาไปซื้อของกินล่ะก็คงพอแค่พวกนางสองแม่ลูกกินได้แค่ครึ่งเดือน
แต่แผลบนตัวของเสี่ยวหานยังไม่หายดี ใครจะรู้ว่าต้องไปซื้อยาต่ออีกไหม เงินนี้จะใช้ไม่ได้
แป้งทอดที่เหลืออยู่ในบ้านก็พอประทังได้สองวัน แล้ววันหลังจากนี้จะทำยังไง?
ที่เขาว่ากันว่าเพิ่มรายรับลดรายจ่าย รายจ่ายนั้นไม่สามารถลดได้แล้ว ถ้าไม่คิดหาวิธีเพิ่มรายรับอีกงั้นก็ได้แต่รออดตายจริง ๆ แล้ว
ซูเสี่ยวหว่านค้นหาลักษณะภูมิศาสตร์จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ก็พบว่าที่หมู่บ้านนี้เรียกว่าหมู่บ้านฉางอันนั้นมีเหตุผล
มีเขามีน้ำมีป่า ขอแค่ขยันสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างน้อยก็จะไม่อดตาย เป็นที่ที่สามารถอยู่ได้ยาวตามชื่อจริง ๆ
ด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ก็คงต้องพึ่งป่าพึ่งเขาแล้วล่ะ ยังดีที่อยู่ในสมัยโบราณ พืชพรรณในภูเขานั้นเขียวปลอดภัยไร้การปนเปื้อน
ซูเสี่ยวหว่านรู้สึกแย่แค่แป๊ปเดียวก็ฮึดสู้ขึ้นมาได้
ในเมื่อพระเจ้าลิขิตแบบนี้แล้ว ต่อให้เราไม่ยอมรับก็คอมเพลนพระเจ้าไม่ได้ ตอนนี้จึงได้แต่อาศัยตัวเองลงมือหาเลี้ยงตัวเองแล้ว
ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับซูเสี่ยวหว่านก็เลยลุกขึ้นมา
อันที่จริงตอนกลางวันนางยังมึนหัวอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบาดเจ็บ อีกส่วนเป็นเพราะอยู่ ๆ ก็ถูกพระเจ้าทิ้งมาในที่แบบนี้ แล้วยังมีทั้งสามีและลูกอีก นางจึงตกใจกับเซอร์ไพรส์ชิ้นใหญ่ชิ้นนี้จนมึนงง
ตอนนี้เมื่อสงบสติลงได้ก็ต้องคิดหาวิธีสร้างเนื้อสร้างตัวแล้ว
ซูเสี่ยวหว่านพึ่งสุ่มเอากิ่งไม้ออกมาขากในกองฝืน นั่งอยู่หน้าประตูอาศัยแสงจันทร์วาดรูป
หมู่บ้านฉางอันที่นางอยู่ตอนนี้คือหมู่บ้านที่อยู่ภาคเหนือของแคว้นตงจิ้น ใกล้กับแคว้นต้าอวี่แคว้นข้าง ๆ มาก
ใกล้ ๆ หมู่บ้านมีเทือกเขาที่มีชื่อเสียงสองเทือกเขาแล้วยังมีป่าและแม่น้ำ นั่งรถม้าสองวันก็ถึงทะเล ได้ยินมาว่าตรงหน้าทีท่าเรือแห่งหนึ่งเพียงแค่เจ้าของร่างเดิมไม่เคยไป
สภาพภูมิศาสตร์แบบนี้เรียกได้ว่าได้เปรียบมาก
บวกกับที่นี่คือพื้นที่ชายแดน แผ่นดินกว้างแต่คนน้อย ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จนไม่อาจจินตนาการได้ ซูเสี่ยวหว่านลองคำนวณดูเล็กน้อย ความคิดก็พลั่งพรู
ที่นี่มีแต่ของดีทั้งนั้นเลย การสร้างเนื้อสร้างตัวเหมือนอยู่ตรงหน้าแล้ว
เมื่อลองคิดภาพอนาคตอันสวยงามแล้วก็พบว่าแสงสว่างกำลังอยู่ที่ปลายทาง ซูเสี่ยวหว่านลุกขึ้นทุบขาที่นั่งจนชา กลับห้องครัวไปก่อฝืนต้มน้ำ ใช้ผักแห้งที่จางต้าซานให้มานิดหน่อยและไข่ที่เหลืออยู่ฟองเดียวมาต้มซุปผัก
ซุปผักพึ่งเสร็จ ซูหลิงก็เข้ามาพอดี
"ท่านพี่ เจ้าทำอะไรน่ะ หอมจังเลย!"
ซูหลิงกลืนน้ำลายขยับมาข้าง ๆ ซูเสี่ยวหว่าน แล้วก็เบิกตาโตทันที "ไข่ไก่! ท่านพี่ ของมีค่าขนาดนี้เจ้าเอามาทำซุปหรอกเหรอ!"
"ไม่ว่ายังไงเดี๋ยวก็กินเข้าท้องไปอยู่ดี ทำอาการหรือทำซุปจะต่างอะไรกัน"
ซูเสี่ยวหว่านยกซุปไปไว้บนโต๊ะ หันไปมองซูหลิง
"ยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปเอาถ้วยมากินข้าวสิ วันนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะแยะ"
สายตาของซูหลิงไม่สามารถเบนออกจากซุปผักได้เลย จึงรีบหยิบถ้วยมาอย่างรวดเร็ว
ซูเสี่ยวหว่านเอาแป้งของเมื่อวานออกมา เสี่ยวหานก็ตื่นแล้ว ทั้งสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
ซูหลิงกัดแป้งไปคำหนึ่งตาก็เบิกโตทันที "ท่านพี่ แป้งทอดของเจ้าทำยังไงกันเนี่ย ทำไมมันอร่อยขนาดนี้! แล้วก็ซุปผักอีก มันอร่อยเกินไปแล้ว"
นางเองก็ทำกับข้าวเป็น แต่ก็ได้แค่ทำให้สุกเท่านั้น ป้าสะใภ้ใหญ่ที่บ้านทำอาหารมาตั้งหลายปี แต่ไม่อร่อยเท่ามื้อในวันนี้ของท่านพี่เลย
ซูเสี่ยวหว่านรู้สึกปวดใจ อร่อยที่ไหนกันก็แค่ใส่น้ำมันสัตว์เข้าไปข้างในเอง
"อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ"
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ซูหลิงกินแป้งทอดไปแค่อันเดียวก็ไม่ยอมกินอีกแล้ว บอกว่านางกลับบ้านไปยังมีของกิน ถ้ากินเยอะไปเดี๋ยวพวกนางสองแม่ลูกจะกินไม่พอ
"วันนี้พวกเราจะไปเก็บผักป่ากันนะ เจ้ากินไม่อิ่มจะมีแรงเดินไกลขนาดนั้นที่ไหน ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ออกไปครั้งเดียววันที่เหลือต่อมาไม่ต้องกลัวจะไม่มีอะไรกิน"
ซูหลิงไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น นางตามป้าสะใภ้ใหญ่ไปเก็บผักป่าทุกวัน รอบ ๆ เป็นยังไงนางรู้ดีที่สุด ใบหน้าเล็กจึงเต็มไปด้วยความกังวล
"มันง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหน ทางที่เดินง่ายรอบ ๆ ก็ถูเก็บผักป่าไปหมดแล้ว ถ้าเดินไปไกลก็จะไม่ปลอดภัยอีก"
"ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็มีทางเอง มีป่าใหญ่ขนาดนั้นแล้วไม่อดตายหรอก พี่รับประกันว่าชีวิตของพวกเราในอนาคตต้องดีขึ้นในทุกวันแน่นอน"
ซูหลิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ของอร่อยตรงหน้านั้นยิ่งทำให้นางไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงหยิบแป้งทอดมาครึ่งอันแล้วกินอย่างมูมมาม
ซูเสี่ยวหว่านมองทั้งสองที่เหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายร้อยปีในใจก็คิดว่าคนสมัยโบราณน่าสงสารเสียจริง ๆ ของพวกนี้ไม่อร่อยเท่าโรตีต้นหอมสิบบาทของปัจจุบันเลยด้วยซ้ำ
กินข้าวเสร็จ ซูเสี่ยวหว่านก็ทายาให้กับแผลของเสี่ยวหาน แบกตะกร้าไม้ไผ่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านก็เห็นเสี่ยวหานแบกตะกร้าไม้ไผ่อันเล็กขึ้นด้วยอย่างรู้งาน เตรียมตัวจะไปกับนาง
ซูเสี่ยวหว่านถึงนึกขึ้นได้ว่า เด็กในสมัยนี้ไม่ได้บอบบางเท่าสมัยปัจจุบัน เศรษฐกิจที่ล้าหลังทำให้พวกเขาไม่มีเวลาบอบบาง
ขอแค่ไม่ได้เป็นแผลถึงแก่ชีวิต งานที่ควรทำก็ต้องทำต่อ ถ้าไม่ทำงานหนึ่งวันก็เท่ากับเปลืองอาหาร
ซูเสี่ยวหว่านนั่งย่อลงตรงหน้าเสี่ยวหาน "เสี่ยวหาน แม่รู้ว่าเจ้าอยากช่วยมาก แต่แผลบนตัวเจ้ายังไม่หายดีเลย ถ้าเป็นหนักขึ้นล่ะ พวกเราก็ต้องเสียเงินหาหมออีก แบบนั้นมันไม่ดีเลยใช่ไหม?"
เสี่ยวหานค่อนข้างเชื่อฟัง แม้จะไม่ยอมแต่ก็ลังเลเล็กน้อยแล้วก็พยักน้า
ซูเสี่ยวหว่านจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เขา "ไว้รอไม่กี่วันร่างกายของเสี่ยวหานหายดีแล้ว ก็ไปกับแม่ได้แล้ว"
เมื่อลองคิดดูก็ยังไม่วางใจอยู่ดีจึงพูดย้ำเสริมไปอีก "เจ้าอยู่บ้านคนเดียวต้องระวังตัวนะ ถ้าคนนิสัยไม่ดีพวกนั้นมาบ้านเราอีกเจ้าก็ซ่อนตัวเอาไว้นะ"
เสี่ยวหานพยักหน้า "ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ถ้าศัตรูแข็งแกร่งข้าควรหลบเลี่ยง ไว้หาโอกาสได้ค่อยจู่โจม เสี่ยวหานจะไม่เอาไข่ไปชนหินอย่างแน่นอน"
คำพูดแบบนี้ออกจากปากของเด็กน้อยก็ทำให้ซูเสี่ยวหว่านแปลกใจเป็นอย่างมาก ลูบหัวของเสี่ยวหานแล้วพูด "พูดถูก เสี่ยวหานเก่งมาก"
ซูเสี่ยวหว่านออกบ้านไปถึงได้พบว่าเรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น
สถานการณ์เป็นเหมือนที่ซูหลิงพูด ทางที่เดินง่ายนั้นผักป่าหมดไปนานแล้ว