บทที่ 3 คนร้ายฟ้องก่อน
ซูเสี่ยวหว่านฝืนยืนขึ้น "เสี่ยวหาน แม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้าตอนนี้แหละ"
ตอนนี้บาดแผลบนตัวไม่สำคัญแล้ว ต้องกินให้อิ่มท้องก่อน อย่าว่าแต่เสี่ยวหานเลย แม้แต่ตัวนางเองยังหิวจนไส้กิ่วแล้ว
"ท่านพี่ ท่านอย่าขยับเลย"
ซูหลิงหยิบแผ่นแป้งแข็งออกมาจากในอก "ข้าเดาว่าพวกเจ้าคงไม่ได้กินข้าว ตอนออกมาจึงหยิบแผ่นแป้งสองแผ่นในห้องครัวมา"
ซูเสี่ยวหว่านเห็นน้องสาวที่ยัดแผ่นแป้งอันเท่าฝ่ามือสองแผ่นมาให้ในมือของตนแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ แผ่นแป้งที่แข็งอย่างกับก้อนหินสองชิ้นนี้ ถ้าคนตระกูลซูจับได้ซูหลิงต้องถูกทำโทษแน่
"จะไม่ถูกจับได้ใช่ไหม"
"ไม่หรอก" ซูหลิงยื่นแป้งอีกชิ้นให้เสี่ยวหาน
"ถ้าถูกจับได้ข้าก็จะบอกว่าข้ากินเองทั้งหมด อย่างมากก็แค่ถูกป้าสะใภ้สามด่านิดหน่อย เพราะยังไงปกติข้าก็ถูกนางด่าตลอดอยู่แล้ว"
เสี่ยวหานถือแผ่นแป้งแต่ก็ไม่กล้ากิน มองไปที่ซูเสี่ยวหว่านตาแป๋ว
ซูเสี่ยวหว่านถอนหายใจ ไม่ว่ายังไงก็ตามจะให้เด็กอดข้าวไม่ได้ "กินสิ"
"ท่านพี่ เจ้าก็กินสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าล้มลงใครจะดูแลเสี่ยวหานล่ะ"
ซูเสี่ยวหว่านกัดแผ่นแป้งที่แข็งปั๊ก เคี้ยวอย่างลำบาก ตอนกลืนรู้สึกเหมือนเป็นก้อนไหลตามทางเดินอาหารลงไปยังกระเพาะ เป็นก้อนแข็งจนเจ็บกระเพาะ
ซูหลิงอยู่นานไม่ได้ ถ้าคนตระกูลซูรู้ว่านางมาที่นี่อาจจะถูกตีได้
"หลิงเอ๋อร์ รีบกลับไปก่อนเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก"
ซูหลิงพยักหน้า พึ่งกำลังจะออกไปก็ได้ยินเสียงก่นด่าจากข้างนอก "ซูเสี่ยวหว่าน เจ้าไสหัวออกมานะ! นังคนชั่วช้า ดูสิเจ้าทำร้ายน้องสาวเจ้าขนาดไหน!"
เสียงแหลมเล็กนั้นได้ยินก็รู้ว่าคือป้าสะใภ้สาม!เฉาซื่อ
ซูหลิงประหม่าขึ้นมาทันที แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว "ทำยังไงดี! ป้าสะใภ้สามมาแล้ว นางต้องมาหาเรื่องเจ้าแน่เลย"
ตระกูลซูมีลูกชายทั้งหมดสี่คน มีเพียงแค่เฉาซื่อภรรยาของซูเจียจ้วงลูกคนที่สาม ที่เป็นคนปากร้ายใจดำ ตลอดหลายปีมานี้คนที่รังแกสองพี่น้องซูเสี่ยวหว่านมากที่สุดก็คือนาง
ถ้านางรู้ว่าซูหลิงแอบมาที่นี่โดยไม่บอกคนที่บ้านล่ะก็ต้องแย่แน่นอน
"ไม่เป็นไร เจ้าอยู่ข้างในเงียบ ๆ ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา"
ซูเสี่ยวหว่านทำเสื้อผ้าและยีผมที่พึ่งจัดระเบียบเรียบร้อยไปเมื่อสักครู่ให้ยุ่งเหยิง แล้วอุ้มเสี่ยวหานเดินออกไป
เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ซูเสี่ยวหว่านก็ประมวลผลความคิด
ตอนนี้นางยังเป็นนังผีบ้าในสายตาคนนอก ขอแค่ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ให้ดีก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหาเรื่องแล้ว
เมื่อเห็นซูเสี่ยวหว่านออกมา เฉาซื่อจึงไม่เดินเข้าไปข้างใน ดึงซูถงยืนตะโกนแหกปากอยู่ข้างนอก
"นังสารเลว! ซูถงคือลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ เจ้าดูสิว่าเจ้าทำร้ายนางถึงขนาดไหน!"
คนที่มาพร้อมกับเฉาซื่อยังมีเฉียนซื่อ แม่ของหลี่หลาน ขณะนี้ก็จ้องซูเสี่ยวหว่านตาถลน "ให้ตายเถอะ! หลี่หลานของข้าอายุน้อยกว่าเจ้าหลายปี เหตุใดเจ้าถึงได้ลงมือหนักถึงเพียงนี้"
ทั้งสองตะโกนโวยวายจนในไม่ช้าก็มีคนจำนวนไม่น้อยมามุงที่หน้าบ้าน
ซูเสี่ยวหว่านแค่นหัวเราะในใจ
บ้านผุผังของนางนี้อยู่กลางเขา ปกตินานทีปีหนไม่เห็นคนสักคน คนในหมู่บ้านขนาดเดินผ่านยังเดินอ้อมราวกับว่าบ้านพวกเขามีพิษอย่างนั้นแหละ
เมื่อกี๊พวกซูถงสามคนแทบจะรื้อหลังคาบ้านของนางแล้วก็ไม่เห็นมีใครมามุงดูสักคน ทำไมตอนนี้คนเยอะขนาดนี้
คนพวกนี้คือคนที่เฉาซื่อและเฉียนซื่อตั้งใจเรียกมาตอนระหว่างทางแน่นอน
หมู่บ้านเกษตรสมัยโบราณไม่มีกิจกรรมบันเทิง การทะเลาะวิวาทจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด บวกกับตอนที่ซูถงกลิ้งตกเนินได้รับบาดเจ็บไม่เบา พวกคนที่ตามมาจึงพากันยืนตำหนิติเตียนซูเสี่ยวหว่านหน้าประตู
"นังผีบ้าคนนี้หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทำร้ายคนขึ้นมาอีกล่ะ"
"หายดีอะไร หลายวันก่อนยังบอกว่าเหยาเจินเป็นคนทำร้ายนางอยู่เลย ข้าว่าเป็นบ้ายิ่งกว่าเดิมอีกมากกว่า"
"ต่อให้เป็นคนบ้าก็ทำร้ายคนมั่วซั่วไม่ได้หรือเปล่า เจ้าดูสิว่าเจ้าหนูซูถงถูกทำร้ายถึงขนาดไหน วันนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว"
บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกจนแทบจะเอาเมล็ดทานตะวันมานั่งแทะแล้ว
"ข้าว่าอาจจะไม่ใช่ความผิดของนังหนูบ้าก็ได้ รู้ทั้งรู้ว่านังหนูของเจ้ารองบ้านตระกูลซูนี้สติไม่ดี ทำไมถึงยังมาหาเรื่องคนอื่นล่ะ มีเรื่องกับคนสติไม่ดีโดนตีก็โดนตีเปล่า ๆ "
"คนสติไม่ดีอะไรล่ะ! ข้าว่านางแกล้งบ้าต่างหาก!" ดวงตาเล็กและตกของเฉาซื่อจ้องซูเสี่ยวหว่านตาเขม็ง "อย่าคิดว่าจะอ้างว่าตัวเองเป็นคนสติไม่ดีแล้วจะไม่เป็นอะไร วันนี้ต้องมีคำอธิบายให้กับข้า"
ซูเสี่ยวหว่านก้มหน้า ไม่รู้จะจัดการอย่างไงดี
ตอนนี้นางเป็นคนบ้า นางไม่อยากให้คนตระกูลซูรู้เร็วขนาดนี้ว่านางหายดีแล้ว
นางอยากโวยวายมาก แต่ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นยุวชนที่ได้รับการศึกษาสมัยปัจจุบัน เรื่องแกล้งบ้าแกล้งโง่แบบนี้นางไม่สามารถทำได้จริง ๆ
"นี่!" เมื่อเฉาซื่อเห็นว่านางไม่มีการตอบกลับก็ตะคอก "เจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม! อย่ามาแกล้งหูตึงเป็นใบ้นะ! วันนี้ต้องให้คำอธิบายกับข้าต่อหน้าเหล่าชาวบ้านซะ!"
ซูเสี่ยวหว่านห่อตัว ดูเหมือนว่าตกใจกลัวไม่น้อย
"ป้าสะใภ้สามอยากได้คำอธิบายอย่างไรหรือ"
ซูเสี่ยวหว่านพยายามทำให้น้ำเสียงของตนสั่นเครือ แสดงออกถึงความหวาดกลัวของตน
"อธิบายอย่างไร!" เฉาซื่อชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น "แน่นอนว่าต้องชดใช้เงินน่ะสิ! แขนซูถงของข้าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็ต้องไปหาหมอไหม แขนบาดเจ็บขนาดนี้คงจะช่วยทำงานบ้านไม่ได้สักระยะแน่นอน ก็ต้องชดเชยน่ะสิ!"
ซูเสี่ยวหว่านกลอกตาในใจ ช่วยทำงานบ้านไม่ได้? พูดอย่างกับว่าซูถงเคยช่วยทำงานบ้านอย่างไรอย่างนั้นแหละ
เฉียนซื่อก็พูดต่อ "ใช่ หลี่หลานของข้าล้มหัวกระแทกก็ต้องไปหาหมอในเมือง ต้องชดใช้มากยิ่งกว่า"
ซูเสี่ยวหว่านแค่นหัวเราะ มาไถเงินจริงด้วย
นางแต่งงานกับหรงฮ่าวมาสองปี ทุกครั้งที่หรงฮ่าวออกจากบ้านจะทิ้งเงินไว้ให้นางตลอด แต่แค่นางบ้า ๆ บอ ๆ เงินที่หรงฮ่าวให้ไว้แก่นางมักจะถูกคนอื่นขโมย หลอกเงิน ไม่ก็ชิงไปจนหมด แน่นอนว่า ส่วนใหญ่ในนั้นถูกคนตระกูลซูเอาไปทั้งนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซูด้านหนึ่งไม่อนุญาตให้ซูหลิงยุ่งกับซูเสี่ยวหว่าน อีกด้านหนึ่งก็ปล่อยให้ซูถงมาไถเงินที่ซูเสี่ยวหว่าน
เฉาซื่อจ้องอยากได้เงินในมือของซูเสี่ยวหว่านมานานแล้ว แต่โดยปกติแล้วฮูหยินผู้เฒ่ามีอำนาจมากที่สุดในตระกูลซู หลายครั้งที่เฉาซื่ออยากเอาเงินจากซูเสี่ยวหว่านด้วยตนเองแต่ไม่สำเร็จสักครั้ง
หรงฮ่าวนั้นแม้จะเกิดมาหน้าตาดีแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นชายไร้ปัญญา ทำสวนไม่เป็นล่าสัตว์ก็ไม่เป็น แล้วยังมีน้องชายและภาระตัวน้อยอีก แต่ผ่านมาหลายปีครอบครัวนี้ก็ไม่ไม่เห็นจะอดตาย แสดงว่ายังมีเงินอยู่อีก
วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด นางมีข้ออ้างที่ดีที่สุด ขอแค่วันนี้สามารถเอาเงินจากนังหนูบ้าได้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาเงินที่จะหาหมอของซูถงไป
ตั้งแต่ตอนที่เฉาซื่อลากชาวบ้านกรูกันมา ซูเสี่ยวหว่านก็รู้เป้าหมายของเฉาซื่อแต่แรกแล้ว
ภายใต้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ซูเสี่ยวหว่านแสยะยิ้ม
"ป้าสะใภ้สามอยากได้เงินเท่าไหร่"
เฉาซื่อได้ยินก็ผงะไปเล็กน้อยแล้วก็แอบดีใจ นางว่าแล้วว่านังหนูบ้านี่ต้องมีเงินแน่นอน ถึงรับปากให้เงินอย่างง่ายดาย
"นี่ ยังมีหลี่หลานของข้าด้วยที่ต้องไปหาหมอและต้องชดใช้เงินเหมือนกัน" เมื่อเฉียนซื่อเห็นเฉาซื่อได้เงินอย่างง่ายดายขนาดนี้ก็กระโดดออกมาทันที
พวกนางคงใจร้อนเกินไปทั้งคู่จนไม่ได้สังเกตว่า น้ำเสียงขณะพูดของซูเสี่ยวหว่านไม่ได้แฝงไปด้วยความหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน แต่กลับเย็นชาจนใจหายวาบ
“พวกข้าสามครอบครัว อย่างน้อยต้องชดใช้บ้านละหนึ่งพวงเหรียญ!”
(หนึ่งพวงเหรียญเท่ากับหนึ่งพันเหวิน)
เฉาซื่อมาถึงก็เรียกเงื่อนไขซะสูงเลย
โอ้โห! หนึ่งพวงเหรียญ!
ชาวบ้านที่มุงอยู่โดยรอบฮือฮากันทันที
หนึ่งพวงเหรียญก็เท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน ตามระดับการใช้ชีวิตที่หมู่บ้านฉางอัน หนึ่งตำลึงเงินมากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวสามคนได้เป็นปีแล้ว