บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 การทะลุมิติอันน่าอนาถ

ซูเสี่ยวหว่านกำกระบองในมือแน่น จ้องคนตรงหน้าทั้งสามตาเขม็ง "ไสหัวออกไป!"

"เจ้าว่าอะไรนะ?" ซูถงจ้องซูเสี่ยวหว่าน "เจ้าลืมไปแล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าบอกให้ข้าไสหัวไป! วันนี้ข้าจะฉีกปากเจ้าให้ละเลยคอยดู!"

ซูเสี่ยวหว่านแค่นหัวเราะ เธอจะให้โอกาสพวกนางโจมตีกลับได้ยังไง จึงหมุนกระบองในมือพุ่งใส่ซูถงอย่างเต็มกำลัง

เธอเคยเรียนยูโดมาหลายปี แต่แค่ตอนนี้อ่อนแรงไปทั้งตัวจนแสดงฝีมือไม่ได้จึงได้แต่ใช้วิธีรุนแรงง่าย ๆ แบบนี้

ซูถงไม่คิดว่าซูเสี่ยวหว่านจะกล้าลงมือจริงจึงรีบถอยหลังหนี

เมื่อก่อนนังบ้าคนนี้ปล่อยให้พวกนางรังแกตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ วันนี้เป็นอะไรทำไมถึงกล้าสวนมือ

ซูถงถอยหลังแล้วแต่สองคนข้างหลังยังคงเดินหน้า ทั้งสามชนเข้าด้วยกัน ซูถงเหยียบโดนเท้าของบุตรสาวตระกูลจางจนสะดุดล้มหน้าคะมำ

ซูเสี่ยวหว่านยืนอยู่ตรงหน้า ตัวแผ่ซ่านไปด้วยรังสีอันทรงพลัง "ถ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะเอาให้พวกเจ้าตายที่นี่ทุกคน!"

"ยังไม่ไปอีก!"

ซูถงสามคนกลัวจนหน้าถอดสี คุกเข่าคลานหนีออกไปอย่างทุลักทุเล

ซูเสี่ยวหว่านไล่ตามติดข้างหลัง ซูถงวิ่งช้าไปหน่อยก็ถูกตีเข้าที่ขา

"กรี้ด! ฆ่าคนแล้ว! นังบ้าฆ่าคนแล้ว!"

เสียงกรีดร้องของซูถงดังสนั่นไปทั่ว

บ้านของซูเสี่ยวหว่านอยู่กลางเขา ไม่ไกลจากหน้าบ้านเป็นทางเนินชัน ทั้งสามคนวิ่งเร็วเกินไปเบรกไม่ทันจึงกลิ้งลงเนินไปจนหน้าคลุกดินทันที

หลี่หลานหัวแตก แขนของซูถงถูกหินบาดเป็นแผลยาว บุตรสาวตระกูลจางก็ข้อเท้าพลิก

เมื่อเสียเปรียบขนาดนี้ทั้งสามคนจึงไม่กล้าแม้แต่จะมองซูเสี่ยวหว่าน รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

ซูเสี่ยวหว่านมองแผ่นหลังของทั้งสามคนที่วิ่งหนีเตลิดหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ค่อยโล่งอกสักที

เมื่อผ่อนความตึงเครียดลงก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวทันที จนเธอแทบจะเป็นลมไปอีกครั้ง

"ท่านแม่..."

เสียงหวาดกลัวดังขึ้นมาจากข้างหลัง

ซูเสี่ยวหว่านได้สติกลับมา อ้อใช่สิ ในบ้านโทรม ๆ นั้นยังมีเด็กน้อยอีกหนึ่งคน

เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเด็กน้อยหลบอยู่ข้างหลังประตูใหญ่ของเรือนที่ผุพังไม่เป็นท่า มองเธอด้วยสายตาหวาดกลัว

ซูเสี่ยวหว่านลากร่างกายอันหนักอึ้งกลับเข้าไปในเรือนบ้าน ทิ้งกระบองในมือแล้วอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอก

"มาให้ข้าดูสิ เจ็บมากเลยใช่ไหม ท่านแม่เป่า ๆ ให้เจ้านะ"

เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าซูเสี่ยวหว่านไม่ได้มีสีหน้าอันน่ากลัวเหมือนตอนเผชิญหน้ากับผู้หญิงใจร้ายทั้งสามคนนั้น และสายตาที่มองเขานั้นอ่อนโยนมาก จึงเบะปากน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

"ไม่เจ็บแล้ว ท่านแม่เป่าให้ก็ไม่เจ็บแล้ว"

ใจของซูเสี่ยวหว่านราวกับถูกคนบีบอย่างแรง อึดอัดจนรู้สึกแย่ เบ้าตาแดงก่ำเองโดยไม่รู้ตัว

เธอเป็นเด็กกำพร้า เธอรู้ดีว่าการถูกรังแกนั้นรู้สึกยังไง เด็กคนนี้ยังตัวแค่นี้เองก็ถูกรังแกขนาดนี้แล้ว หญิงสาวทั้งสามคนนั้นจิตใจอำมหิต ไม่สมเป็นมนุษย์เลยจริง ๆ

"ท่านแม่ เสี่ยวหานไม่เจ็บแล้วจริง ๆ บนพื้นเย็นท่านแม่รีบลุกขึ้นก่อนเถอะ"

เด็กน้อยมองซูเสี่ยวหว่านที่ตาแดงก่ำ และเห็นว่าซูเสี่ยวหว่านกำลังคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่งก็อยากประคองนางขึ้น โดยไม่สนใจบาดแผลที่แขนของตน

ซูเสี่ยวหว่านใจอ่อนยวบ "เสี่ยวหานคนดี แม่ลุกเองได้"

กว่าจะลุกขึ้นมาได้ก็ได้ยินเสียงร้องจ๊อก ๆ มาจากในท้องของเด็กน้อย

"หิวเหรอ?"

เด็กน้อยเบะปากท่าทางน่าสงสาร "ท่านแม่ อาหารเที่ยงของพวกเราถูกผู้หญิงใจร้ายสามคนนั้นทำคว่ำไปหมดแล้ว พวกเราไม่มีอะไรให้กินแล้ว"

ซูเสี่ยวหว่านลูบหัวของเด็กน้อย "ไม่เป็นไรนะ มีท่านแม่อยู่ไม่มีทางให้เสี่ยวหานต้องหิวหรอก"

จึงเดินเข้าไปในบ้านผุพังทรุดโทรมนั้นใหม่อีกครั้ง ซูเสี่ยวหว่านต้องทำใจยอมรับว่าตนนั้นทะลุมิติแล้ว และทะลุมายังหมู่บ้านเชิงดอยอันยากจนสมัยโบราณอีก

บนพื้นที่มีคราบน้ำมีเศษกระเบื้องแตกกระจุยกระจายจำนวนมาก และยังมีเศษผักไม่กี่ใบ แต่ไม่เห็นแม้แต่ข้าวสักเม็ดหรือก้อนแป้งสักชิ้น

นี่น่ะเหรอคืออาหารเที่ยงที่เสี่ยวหานบอก?

ให้ตายเถอะพระเจ้า! ท่านล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย!

ไม่ได้ขอให้ท่านพาฉันทะลุมิติเป็นองค์หญิงฮองเฮาอยู่อย่างสุขสบาย แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันมาอยู่ในครอบครัวปกติหน่อยได้ไหม กระท่อมผุพังแบบนี้ ผักเน่าเต็มพื้นแบบนี้ มันคือเซตติ้งอะไรเนี่ย! ซูเสี่ยวหว่านหมดแรงจะบ่น

"ท่านแม่ ท่านแม่..." เสี่ยวหานจับมือของซูเสี่ยวหว่านส่ายไปมา

"หา?"

ซูเสี่ยวหว่านได้สติกลับมา "ไม่เป็นไร ข้าวเที่ยงไม่มีแล้วแม่ทำให้เจ้าใหม่"

"ท่านแม่ ท่านเลือดออกรีบเช็ดเถอะนะ"

เสี่ยวหานถือผ้าเก่า ๆ ผืนหนึ่งขึ้น "ความผิดของพวกคนใจร้ายทั้งนั้น อาศัยจังหวะที่ท่านพ่อไม่อยู่มารังแกท่านแม่"

"แม่ไม่เป็นไร พักผ่อนเดี๋ยวเดียวก็หาย" ซูเสี่ยวหว่านประคองแก้มของเขาแล้วปลอบเสียงอ่อนโยน

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเป็นห่วงดังขึ้นจากนอกบ้าน

"ท่านพี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!"

ซูเสี่ยวหว่านหันไปก็เห็นหญิงสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพอนาถของสองแม่ลูก น้ำตาของหญิงสาวก็ทะลักออกมาทันที

"ทำไมคนพวกนี้จิตใจอำมหิตเช่นนี้! ถึงแม้เสี่ยวหานจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้าแต่ก็เป็นแค่เด็กสี่ขวบเอง! ลงมือกับเด็กหนักขนาดนี้ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม!"

หญิงสาวตรงหน้าชื่อซูหลิง ในแง่หนึ่งก็เป็นญาติเพียงคนเดียวในโลกนี้ของซูเสี่ยวหว่าน

ตั้งแต่นางสติไม่ดี นอกจากสามีที่คนนอกด่าว่าไม่มีสมองแล้วก็มีแค่น้องสาวคนนี้นี่แหละที่ไม่รังเกียจนาง

ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวคนนี้ นางคงหิวตายไปก่อนที่จะมีชีวิตรอดอยู่จนให้หรงฮ่าวเก็บนางกลับบ้านแล้ว

"แผลใหญ่ขนาดนี้ ทำยังไงดีเนี่ย"

ซูหลิงลนไปหมด อยากช่วยทำแผลให้แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากอะไร

ซูเสี่ยวหว่านกุมมือนางไว้แล้วปลอบเสียงอ่อนหวาน "ไม่ต้องกลัวนะ แค่แผลภายนอกเองไม่เป็นไรหรอก แต่เสี่ยวหานบาดเจ็บหนักต้องไปหาหมอ"

ซูหลิงจ้องใบหน้าของซูเสี่ยวหว่านแล้วอึ้งไปหมด จ้องนางนิ่งอยู่เสียนาน "ท่านพี่ เจ้า...เจ้าหายดีแล้วเหรอ?"

แม้ซูเสี่ยวหว่านจะบาดเจ็บไม่เบาเลยแต่แววตากลับแจ่มใสชัดเจน ไร้ซึ่งสายตาว่างเปล่าอย่างแต่ก่อนแล้ว

ซูเสี่ยวหว่านหัวเราะเบา ๆ "ใช่ ข้าหายแล้ว"

ซูหลิงสูดน้ำมูก กอดซูเสี่ยวหว่านแล้วร้องไห้โฮออกมา "ท่านพี่ เจ้าหายสักที ข้าทนไม่ไหวแล้ว"

ซูหลิงผอมมาก ผอมมาก ๆ คนอายุสิบกว่าปีโผเข้ากอดในอ้อมอกของซูเสี่ยวหว่านแต่ไม่รู้สึกหนักเลย

ซูเสี่ยวหว่านลูบแผ่นหลังที่เป็นข้อกระดูกชัดเจนของซูหลิง เหมือนมีมีดทิ่มแทงในใจ

เพื่อพี่สาวบ้าอย่างนางคนนี้ ตลอดหลายปีมานี้ซูหลิงลำบากไม่น้อย เพราะแอบเอาของกินให้นาง ถูกซูถงด่าทอตบตีไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

เมื่อก่อนตอนนางอยู่ตระกูลซู อย่างน้อยยังช่วยกันแบ่งเบางานบ้านได้ แต่ตั้งแต่นางเกิดอุบัติเหตุก็เหลือแค่ซูหลิงที่เป็นวัวเป็นควายอยู่ในบ้าน อายุสิบสี่แล้วแต่ดูแล้วยังเหมือนอายุสิบเอ็ดสิบสอง เนื่องจากขาดสารอาหาร

"พอแล้วหลิงเอ๋อร์ ไม่ต้องร้องแล้ว ทำไมเจ้ามาเวลานี้ล่ะ ถ้าป้าสะใภ้สามกับท่านย่ารู้เข้าเดี๋ยวก็ด่าเจ้าอีก"

เมื่อก่อนซูหลิงมักจะมาเยี่ยมนางตอนรุ่งเช้าไม่ก็กลางคืน แอบเอาของกินมาให้ โดยอาศัยจังหวะที่คนตระกูลซูหลับใหลหรือไม่ก็ยังไม่ตื่น ไม่เคยกล้ามาตอนกลางวัน

ซูหลิงเช็ดน้ำตาบนหน้า "ข้ากับป้าสะใภ้ใหญ่ไปเก็บผักป่าในเขา กลับมาถึงได้ยินเด็กข้างบ้านบอกว่าซูถงจะมาหาเจ้า ข้าไม่ไว้ใจจึงมาดูสักหน่อยปรากฏ...ปรากฏว่า..."

พูดไปก็สะอื้นไป

สองแม่ลูกถูกทำร้ายถึงเพียงนี้ ตอนนี้ในบ้านก็ไม่มีเงินหาหมออีก ถึงแม้ตอนนี้ดูแล้วจะไม่เป็นอะไรมากแต่ใครจะรู้ว่าจะบาดเจ็บภายในไหม

ซูเสี่ยวหว่านเช็ดน้ำตาบนหน้าให้ซูหลิง "พอแล้วหลิงเอ๋อร์ ไม่ต้องร้องแล้ว พี่สัญญาว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าถูกรังแกอีกต่อไป แล้วพี่ก็จะทำให้พวกเจ้าได้กินอิ่ม ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ มีชีวิตที่ดีด้วย"

แววตาของเสี่ยวหานเปล่งประกายทันที "จริงเหรอ? พวกเราสามารถกินอิ่มและได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ เหรอ?"

ซูเสี่ยวหว่านพยักหน้า "แม่สัญญาว่าใช้เวลาอีกไม่นานทุกอย่างนี้จะเป็นจริง"

เสี่ยวหานอายุแค่สี่ขวบ เมื่อได้ยินซูเสี่ยวหว่านพูดแบบนี้ก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นทันที

แต่ซูหลิงกลับคิดว่านางกำลังปลอบใจตนเอง ตอนเด็ก ๆ ถูกรังแกล้วนมีท่านพี่คอยปกป้องนาง ทำทุกวิถีทางให้นางได้กินอิ่ม ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยบอกนาง ได้แต่แอบร้องไห้คนเดียวตอนกลางคืน

ท่านพี่เป็นคนแบบนี้แหละ มักจะแบกทุกเรื่องไว้ตัวคนเดียว

ซูเสี่ยวหว่านรู้ว่าซูหลิงไม่เชื่อคำพูดของตนจึงไม่อธิบายอะไรต่อ

การกระทำสำคัญกว่าคำพูด เมื่อก่อนชีวิตลำบากเกินไปจนกลบความหวังในใจคนจนหมดสิ้น นางต้องใช้การกระทำเพื่อให้คนที่รักได้เห็นความหวังของชีวิต

แต่พวกนี้เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้สำคัญที่สุดคือต้องจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel