บทที่ 15 พริกปฏิวัติวงการ
เมื่อเข้าไปในหุบเขา ก็เห็นซูหลิงอยู่ที่นั่นแล้ว และกำลังขุดผูกงอิงจำนวนมาก
“ท่านพี่ ท่านดูสิ วันนี้ข้าทำงานได้ดีใช่หรือไม่”
ซูหลิงขอบตาแดงเล็กน้อย แค่มองก็รู้ว่าเพิ่งร้องไห้มา เมื่อนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าซูและเฉาซื่อที่บุกมาหาเรื่องเมื่อเช้านี้ ซูเสี่ยวหว่านก็พอจะรู้คร่าวๆ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เมื่อวานเจ้าเอาผักป่ากลับไปด้วยไม่ใช่หรือ? พวกเขาด่าเจ้าอีกแล้วหรือ? ทำไมเล่า?”
ซูหลิงก้มศีรษะลง สูดจมูก "ในผักป่าบังเอิญมีเห็ดปนอยู่ ป้าสะใภ้สามยืนยันว่าเห็ดพิษจะทำให้ผักป่าติดพิษไปด้วย ดังนั้น..."
ซูหลิงเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วฝืนยิ้มพูดว่า
"ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ ข้าชินแล้ว ป้าสะใภ้สามเป็นแบบนี้ไม่ใช่แค่วันสองวัน เรารีบทำงานกันเถอะ พรุ่งนี้ท่านจะเข้าเมืองไม่ใช่หรือ?”
ซูเสี่ยวหว่านรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มให้ซูหลิง "อื้อ เราทำงานกันเถอะ"
ขณะที่ถือพลั่วกำลังหย่อนกายลงนั่ง นางหันศีรษะมองไปยังรูปร่างผอมเพรียวของซูหลิง ซูเสี่ยวหว่านสาบานในใจ ทุกสิ่งที่ทนทุกข์ทรมานในวันนี้ ในอนาคตนางจะทวงคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่า
ยุ่งวุ่นวายมาทั้งเช้า และเก็บเกี่ยวมาได้มากมาย เมื่อถึงยามเที่ยง ในที่สุดก็ได้หยุดพักได้สักครู่
ซูเสี่ยวหว่านก่อไฟ อุ่นน้ำแกงเห็ดถังเล็กๆ ที่นำมาตั้งตอนเช้า แล้วหยิบแป้งทอดออกจากถุงแล้วส่งให้ซูหลิงและเสี่ยวหาน
ซูหลิงหยิบแป้งทอดขึ้นมา ค่อนข้างไม่สบายใจ "ที่บ้านท่านไม่มีเสบียงอาหารแห้งไม่ใช่หรือ แป้งทอดนี่..."
ซูเสี่ยวหว่านตอบขณะที่เติมน้ำแกงไปด้วย "เมื่อวานพี่ต้าซานมา ทิ้งแป้งหยาบไว้ให้ข้าหนึ่งชั่งกว่าๆ ข้าก็เลยทำแป้งทอด"
หลังจากรับน้ำแกงร้อนๆ จากซูเสี่ยวหว่านแล้ว ซูหลิงก็จ้องมองไปยังชามที่ใส่น้ำแกงอยู่ "ชามไม้นี้ ก็พี่ต้าซานเป็นคนทำเหมือนกันหรือ ยังมีถังไม้ที่ใส่น้ำแกงนั่นด้วย พกพาออกมาก็ค่อนข้างสะดวก มันเบากว่าหม้อดินเผาเทอะทะนั่นตั้งเยอะ"
“ใช่” ซูเสี่ยวหว่านตอบ “เคยเจอครั้งหนึ่งตอนเดินอยู่บนถนน ก็เลยแวะบอกเขาน่ะ เมื่อวานเขาก็เอาที่ทำเสร็จแล้วมาส่งให้”
“พี่ต้าซานดีต่อท่านพี่มาก แต่...” ซูหลิงลังเลที่จะพูด
ซูเสี่ยวหว่านหัวเราะ “เจ้าเด็กน้อยนี่ อายุยังน้อยแต่มีความคิดมากมาย ไม่ต้องห่วง พี่สาวเจ้าแยกแยะได้”
ซูหลิงเกาหลังคอ แล้วยิ้มอย่างเก้อเขิน "ข้าแค่กลัวชาวบ้านเห็นแล้วเอาไปนินทาไงเจ้าคะ"
“จริงสิท่านพี่ สมุนไพรที่เราขุดมาพวกนี้สามารถขายได้จริงหรือ? ท่านคิดว่าจะขายได้ในราคาเท่าไหร่?”
ขายได้เท่าไหร่น่ะหรือ? อันนี้มันยากที่จะประมาณจริงๆ
ในรัชสมัยปัจจุบัน ถือว่าการเมืองราบรื่นผู้คนมีความสุข เศรษฐกิจก็ไปได้ดี
สำหรับประชาชนทั่วไป การพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีหมายถึงอะไรน่ะหรือ ก็คือการมีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพียงพอ
ปัจจุบันแป้งสาลีมีราคาชั่งละสองเหวิน เนื้อหมูมีราคาชั่งละสิบห้าเหวิน เนื่องจากทางภาคเหนือไม่ได้ผลิตข้าว ดังนั้นราคาข้าวจึงค่อนข้างสูง ช่วงที่ข้าวราคาถูกที่สุดก็มีราคาเป็นสองเท่าของแป้งสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวโพด และถั่วมีราคาถูกกว่าแป้งสาลี
สาเหตุที่ราคาอาหารต่ำมาก ก็ต้องขอบคุณฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้
ฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ทรงยกเลิกระบบการเก็บภาษีตามจำนวนหัว และเปลี่ยนมาเก็บภาษีตามจำนวนแต่ละหมู่ ที่ดินแต่ละหมู่จะมีการเก็บเงินภาษีที่แน่นอน (หนึ่งหมู่มีขนาดประมาณ 666.67 ตารางเมตร)
ในอดีตเกษตรกรต้องนำผลผลิตไปจ่ายภาษีเป็นจำนวนสองในสาม ตอนนี้ต้องส่งมอบผลผลิตแปดสิบจินต่อหนึ่งหมู่ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตต่อหมู่ หากปีไหนให้ผลผลิตดีมีการเก็บเกี่ยวได้มาก ชีวิตผู้คนก็จะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสมัยโบราณ สถานที่ส่วนใหญ่ไม่มีโครงสร้างทางชลประทานที่พัฒนามากนัก ดังนั้นจึงต้องอาศัยสภาพอากาศเป็นหลัก เมื่อปีใดเผชิญหน้ากับสภาพอากาศย่ำแย่ ชีวิตจะลำบากขึ้น
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ในรัชสมัยนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
ทว่า แม้ว่าราคาอาหารจะค่อนข้างใกล้ชิดประชาชน แต่จะให้ซูเสี่ยวหว่านประเมินราคาของสมุนไพร นางไม่มีความสามารถนี้จริงๆ
“คำถามของเจ้ายากที่จะตอบจริงๆ” ซูเสี่ยวหว่านขยี้จมูก “แต่ว่า ข้าคิดว่าสมุนไพรที่พวกเราขุดมาได้ตอนนี้ สามารถทำให้ข้ากับเสี่ยวหานมีอาหารกินได้ถึงครึ่งเดือนได้สบายเลยกระมัง"
ดังคำที่ว่าความรู้คืออำนาจ ในยุคที่น้อยคนนักจะรู้เกี่ยวกับสมุนไพร นางมีความรู้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางมีวิธีการหาเลี้ยงชีพเบื้องต้นเป็นของตัวเองแล้ว
หากการขายสมุนไพรเหล่านี้ไม่สามารถเลี้ยงชีพนางและเสี่ยวหานได้สักสองสามวัน นางก็คงจะ...ร้องไห้
โอ้ แน่นอนว่าการร้องไห้เป็นแค่ล้อเล่นเท่านั้น หากไม่สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้จริงๆ ถึงร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์
เฮ้อ...เส้นทางสู่อนาคตที่สดใสนั้นคดเคี้ยวจริงๆ
ซูเสี่ยวหว่านกัดแป้งทอด แล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า "กินแค่แป้งทอดแบบนี้ ก็เริ่มเบื่อแล้วล่ะ ถ้ามีน้ำพริกด้วยก็คงดี"
ในชีวิตที่แล้วซูเสี่ยวหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบอาหารรสเผ็ด แต่เมื่อมาที่นี่ ก็ไม่เคยได้ลิ้มรสพริกเลยสักคำ
ทันทีที่นางพูดจบ เสี่ยวหานและซูหลิงต่างก็หันไปมองนางด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านพี่ น้ำพริกคืออะไร?”
“ใช่แล้วท่านแม่ นั่นคืออะไร?”
ซูเสี่ยวหว่านตัวแข็งทื่อทั้งๆ ที่กัดแป้งทอดอยู่ในปาก
นางรู้อยู่แล้วว่าผู้คนที่นี่ไม่รู้จักกระเทียม ไม่รู้จักมันฝรั่ง และแยกแยะเห็ดพิษไม่เป็น แต่แม้แต่พริกก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ!
ซูเสี่ยวหว่านต้องยอมรับว่า นางตื่นเต้นอีกครั้งแล้ว
โดยส่วนตัวนางมักจะรู้สึกว่า พริกเป็นสิ่งที่ปฏิวัติวงการ อาหารอร่อยมากมายในสังคมปัจจุบัน ล้วนขาดพริกไม่ได้
หม้อไฟ หมาล่าทั่ง ปลาต้มพริก เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน ไก่พริกไทย จุ๊ จุ๊ จุ๊ แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว
แม้กระทั่งการทำเต้าเจี้ยว ซึ่งเป็นส่วนผสมพื้นฐานของอาหารเสฉวน ถ้าไม่มีพริกก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้ยังมีน้ำมันพริกเหล่ากานมา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่หลายๆ คนต้องมีติดบ้าน
แต่ผู้คนที่นี่ยังไม่ได้ค้นพบสิ่งที่ปฏิวัติวงการนี้เลย
ซูเสี่ยวหว่านรู้สึกว่า นางก้าวเข้าใกล้การเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ไปอีกขั้นหนึ่ง
“เอ่อ พริกก็ที่มีสีแดงๆ มีปลายเล็กๆ” ซูเสี่ยวหว่านพูดขณะที่นางวาดรูปพริกลงบนพื้น
ซูหลิงที่ขมวดคิ้วอยู่ก็คลายลงทันที “อ้อ ท่านหมายถึงลูกสีแดงปลายแหลม ข้าเคยเห็นมาตั้งเยอะ แต่สิ่งนั้นมันบาดลิ้น ท่านพี่ เจ้ากินของแปลกแบบนี้ได้อย่างไร”
“เด็กโง่ นั่นก็คือพริก เป็นวัตถุดิบที่สำคัญมาก เจ้าไปเห็นมาจากไหน พาข้าไปดูหน่อยสิ”
ซูหลิงลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนตัวออกแล้วพูดว่า
"ไปทางนั้น"
เสี่ยวหานกระโดดขึ้นมาทันที "ข้าก็ไปด้วย"
ทั้งสามคนเดินไปพลาง สังเกตไปพลาง เมื่อเห็นสมุนไพรหายากก็ขุดไปด้วย ยังแวะเก็บผักป่าไปด้วยเช่นกัน เมื่อซูหลิงกลับบ้านจะได้มีคำอธิบาย
หลังจากเดินได้ไม่นาน ซูเสี่ยวหว่านก็เจอทางแยกบนถนน "ทางนั้นไปที่ไหน?"
“ทางนั้นมีหุบเขาเล็กๆ อยู่ แต่ในนั้นไม่มีอะไรเลย มีแต่วัชพืช”
ซูหลิงชี้ไปอีกด้านหนึ่ง “ในฤดูหนาว เมื่อลมพัดมาจากทิศทางนั้น หุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ก็กลายเป็นช่องลม มีวัชพืชเหี่ยวเฉาสีเหลืองปลิวเข้ามามากมาย”
“หุบเขานี้ไม่ใหญ่นัก ล้อมรอบด้วยภูเขา ก้นหุบเขาไม่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งปี เดิมทีก็ไม่มีสิ่งใดเติบโตในหุบเขา พอถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าและเศษใบไม้เหี่ยวแห้ง ก็ไม่มีอะไรเติบโตได้”
ซูเสี่ยวหว่านพยักหน้า "เราลองเข้าไปดูกันเถอะ"
“มีแต่ซากใบไม้ใบหญ้าทับถม ไม่มีอะไรให้ดูหรอก อีกอย่าง พวกเราจะไปหาลูกสีแดงปลายแหลมไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าข้างในไม่กว้างมาก? ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย พวกเราแวะเข้าไปดูเฉยๆ”
ในตอนแรกซูเสี่ยวหว่านก็แค่อยากรู้อยากเห็น แต่กลับไม่คาดคิดว่า พอเข้าไปจะได้ค้นพบสิ่งที่เหนือความคาดหมาย