บทที่ 14 พวกหาเรื่องมาอีกแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าพาเฉาซื่อและซูถงมาปรากฏตัวที่บ้านของซูเสี่ยวหว่าน
คนยังไม่ทันเดินเข้าประตู ก็ได้กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก
ซูถงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “กลิ่นอะไรช่างหอมนัก? ไม่เจอกันหลายวัน ชีวิตของนังบ้านี่ดูเหมือนจะดีมากทีเดียว”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่คิดว่าคำพูดของซูถงมีอะไรไม่เหมาะสม เปิดประตูบ้านของซูเสี่ยวหว่านด้วยไม้เท้าพร้อมสีหน้ารังเกียจ ราวกับว่าการใช้ไม้เท้าเปิดประตูยังทำให้ไม้เท้านางสกปรกอย่างไรอย่างนั้น
ซูเสี่ยวหว่านได้ยินเสียงเปิดประตู ก็เหลือบมองไปที่ประตูแล้วขมวดคิ้วมุ่น
ตอนนี้นางไม่อยากจะติดต่อกับคนตระกูลนี้จริงๆ ถ้าพวกเขารู้ว่านางหายดีแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง
ทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในประตู ก็เห็นเสี่ยวหานถือชามน้ำแกงเห็ดพิษ กำลังยกซด
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามา เสี่ยวหานก็ชวนด้วยความกระตือรือร้นมากว่า “ท่านย่าทวด น้ำแกงเห็ดที่ท่านแม่ทำอร่อยมากเลย ท่านลองสักหน่อยหรือไม่?”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนไป “พวกเราไม่ดื่ม เจ้า…”
ไม่ทันรอให้นางพูดจบ เสี่ยวหานก็ดื่มน้ำแกงลงคอไปหนึ่งอึกแล้ว
ทั้งสามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหน้าซีดไปพร้อมๆ กัน
ซูเสี่ยวหว่านยกชามและกะพริบตาราวกับว่านางเพิ่งเห็นสามคนที่ประตู "ท่านย่า มาหาข้ามีธุระอันใดหรือไม่ อยากนั่งลงพูดคุยกันไหมเจ้าคะ"
แม้ว่าปากจะพูดแบบนี้ แต่นางก็ไม่ได้ยืนขึ้นหรือผายมือเชิญให้พวกนางนั่งลง
มองดูจากสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า เหมือนจะบอกว่าการเหยียบดินในพื้นบ้านนางยังทำให้นางรู้สึกสกปรกอย่างไรอย่างนั้น
ซูเสี่ยวหว่านกลอกตา ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะทำแบบขอไปทีแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหันความสนใจไปที่ซูเสี่ยวหว่าน และเฝ้าดูซูเสี่ยวหว่านกินเห็ดพิษในชามจนเกลี้ยง
ตอนนี้นางเสียใจภายหลังที่ฟังคำยั่วยุไม่กี่คำของเฉาซื่อก็ปรี่มาเอาความกับซูเสี่ยวหว่านแล้ว
เดิมทีก็เตรียมพร้อมที่จะให้บทเรียนแก่ซูเสี่ยวหว่านจริงๆ แต่เมื่อใจเย็นแล้วลองคิดดู นางจะสั่งสอนบทเรียนนางได้อย่างไร?
ตอนนี้ซูเสี่ยวหว่านเป็นคนโง่ แถมยังเป็นคนโง่ที่แต่งงานออกไปแล้วอีกต่างหาก
สตรีที่แต่งงานแล้วเป็นคนของตระกูลสามี คนจากตระกูลฝั่งมารดาไม่มีสิทธิ์สั่งสอนนาง ถ้าคนนอกรู้เรื่องนี้ว่านางที่อายุปูนนี้แล้วยังถือสาหาความกับผู้เยาว์แถมยังเป็นคนโง่คนหนึ่ง นางได้ถูกนินทาแน่ๆ
ซูเสี่ยวหว่านวางตะเกียบลง “ท่านย่า ตกลงมีเรื่องอันใดกันแน่?”
“ซูเสี่ยวหว่าน เจ้าพูดจาอย่างไร? หรือว่าไม่มีธุระก็มาไม่ได้?”
ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันเปิดปากพูด เฉาซื่อก็อดใจไม่ไหวแล้ว
"นั่นสิ" ซูถงเข้าร่วมด้วยอีกคน “แต่งงานออกไปแล้วยิ่งไร้ระเบียบขึ้นทุกที นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมียามคุยกับผู้อาวุโสหรือ?”
ซูเสี่ยวหว่านหลุบสายตาลง และหยุดพูดไป ในสายตาของคนที่มาหาเรื่อง ยิ่งพูดมากยิ่งผิด
ฮูหยินผู้เฒ่าซูมองนางจากจุดที่สูงกว่าอย่างถือตัว สายตาไม่เหมือนกับมองหลานสาวของตัวเอง แต่เหมือนมองทาสที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง
“ข้าเคยบอกเจ้านานแล้ว เจ้าแต่งงานออกไปแล้วก็ควรอยู่บ้านปรนนิบัติสามีและเลี้ยงลูก อย่ามายุ่งกับน้องสาวเจ้าอีก ประเดี๋ยวเจ้าจะพานางไปเสียคน”
พาไปเสียคนหรือ? ฮึ่ม! ไม่ถูกพวกเจ้าทำให้เสียคนก็นับว่าโชคดีแล้ว
เมื่อเห็นซูเสี่ยวหว่านไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ซูถงก็ถลึงตาจ้อง "ท่านย่าพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกไปแล้ว!"
ซูเสี่ยวหว่านยังคงเงียบ
ท้ายที่สุด ในภาพความทรงจำของตระกูลซูเจ้าของเดิมคือคนที่ไม่ชอบพูด ดังคำกล่าวที่ว่าสุภาษิตที่ว่ากระบองสามท่อนไม่สามารถตีจนผายลมได้ นั่นก็หมายถึงเจ้าของร่างเดิมนี่แหละ(สุภาษิตนี้ใช้บรรยายคนที่พูดไม่เก่ง ซื่อสัตย์มาก)
ในเวลานี้ถ้านางพยายามทำพฤติกรรมใดที่เป็นการโต้แย้งกลับ มันจะให้ผลตรงกันข้ามและทำให้ผู้คนค้นพบถึงความผิดปกติ นางยังคิดไม่ตกว่าจะพาซูหลิงออกจากตระกูลซูได้อย่างไร ดังนั้นอย่าเผยงำประกายจะดีกว่า
แกล้งทำเป็นหมูกินเสือ ตอนนี้แหละก็คือขั้นแกล้งทำเป็นหมู
ฮูหยินผู้เฒ่าซูมองซูเสี่ยวหว่านด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์อย่างถึงที่สุด การแสดงออกนั้น ชัดเจนมากว่าไม่อยากพูดไร้สาระกับซูเสี่ยวหว่านอีก แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปมือเปล่า
“สถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างไรเจ้าชัดเจนดี น้องสาวเจ้ายังเล็ก อีกหน่อยนางยังต้องหาบ้านสามี ถ้าแม่สื่อรู้ว่าเจ้ายังติดต่อกับนาง คนอื่นคงคิดว่าเจ้าเป็นภาระ หลักการนี้ เจ้าควรจะเข้าใจกระมัง"
"นั่นสิ" เฉาซื่อกระโดดออกมาอย่างร้อนใจ “ดูสิว่าครั้งก่อนเจ้าทุบตีซูถงจนมีสภาพไหน ถ้าคนนอกรู้ว่าซูหลิงมีพี่สาวบ้าแบบนี้ นางยังจะแต่งงานออกไปได้หรือไม่!”
ในตอนนี้ซูเสี่ยวหว่านรู้สึกว่าถ้าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนบ้าจริงๆ ก็คงดี ใช้ไม้หวดไล่คนเหล่านี้ออกไป ก็ไม่ต้องมาฟังคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดใจพวกนี้อีกแล้ว
น่าเสียดายที่เจ้าของร่างเดิมไม่ได้โง่อย่างสิ้นเชิง ตอนที่นางยังมีสติก็ยังสามารถฟังหลักการเหล่านี้เข้าใจอยู่
ซูเสี่ยวหว่านฟังคำพูดของคนตระกูลซู ก็รู้สึกว่าเสียดหูนัก แต่ก็จำเป็นต้องทน
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูมาที่นี่เพื่อแสดงความน่าเกรงขามเท่านั้น ตอนนี้แสดงความน่าเกรงขามเสร็จแล้ว หลังจากวางท่าผู้อาวุโสกว่าแล้วสั่งสอนซูเสี่ยวหว่านไม่กี่ประโยค นางก็เชิดหน้าแล้วจากไปอย่างหยิ่งผยอง
ทันทีที่กลุ่มคนจากไป หรงหานก็เงยหน้าขึ้นมองซูเสี่ยวหว่านแล้วพูดว่า "ท่านแม่ พวกนางว่าท่านขนาดนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ตอบโต้เลย แถมยังไม่ให้ข้าพูดด้วย!"
แม้ว่าหรงหานจะยังเล็ก แต่ก็คิดปกป้องซูเสี่ยวหว่านอย่างสุดหัวใจ เมื่อสักครู่นี้มีหลายครั้งมากที่เตรียมจะกระโดดออกมาพูดแล้ว แต่ก็ถูกสายตาของซูเสี่ยวหว่านขวางไว้ ในใจหรงหานรู้สึกไม่มีค่อยเต็มใจ
ซูเสี่ยวหว่านเก็บชามและตะเกียบไปพลาง ถามไปพลางว่า "เสี่ยวหานคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดถูกต้องหรือไม่"
“ไม่แน่นอน! พวกเขาล้วนเป็นคนโกหก ล้วนเป็นคนเลว พวกเขามาที่นี่เพื่อรังแกเรา! สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นไม่ถูกต้องสักประโยคเดียว!”
ซูเสี่ยวหว่านมองใบหน้าเล็กๆ ของหรงหานที่แดงก่ำด้วยความโกรธ และพูดด้วยรอยยิ้ม
"ถูกต้อง เจ้าก็รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นทำไมต้องไปเสียเวลาตอบโต้พวกเขาด้วย"
"แต่ว่า...แต่ว่า..."
“แต่ใจเจ้ารู้สึกแย่ใช่หรือไม่”
ต้องรู้สึกแย่อยู่แล้ว ขนาดในใจซูเสี่ยวหว่านเองก็ยังรู้สึกแย่เลย
หรงหานพยักหน้า “ท่านแม่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ยังเก็บผักป่าให้พวกเขา พวกเขาอาศัยอะไรถึงมาพูดแบบนี้กับท่าน”
ซูเสี่ยวหว่านลูบหัวหรงหาน "เด็กโง่ แน่นอนว่าเป็นฝ่ายเราที่มีเหตุผล แต่ถ้าเมื่อสักครู่นี้เราตอบโต้กลับไป พวกนางจะจากไปเร็วขนาดนี้หรือ จะต้องสร้างเรื่องใหญ่กว่านี้ขึ้นแน่"
“เวลาคือเงินทอง ตอนนี้เรามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นมากต้องทำ ไม่มีเวลาไปเสียเวลากับพวกเขาหรอกนะ เสี่ยวหานต้องจำไว้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จงอย่าได้เสียเวลาไปกับคนที่ไม่คู่ควร เข้าใจหรือไม่?”
หรงหานเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
"อื้ม ข้าจำทุกสิ่งที่ท่านแม่พูดได้แล้ว เวลาคือเงินทอง ท่านพ่อยังเคยพูดด้วยว่าเวลาเป็นของมีค่า พวกเราต้องทำเรื่องที่มีความหมาย และอย่าเสียเวลาไปกับการทะเลาะกัน”
ซูเสี่ยวหว่านยิ้ม เด็กคนนี้ฉลาดมาก เขาซึมซับสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่รู้ว่าไอคิวที่สูงขนาดนี้มาจากหรงฮ่าวหรือจากมารดาแท้ๆ ที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนผู้นั้น
“ท่านแม่ วันนี้ท่านจะไปที่หุบเขานั้นอีกหรือไม่ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ ท่านดูสิ อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ข้าสามารถช่วยท่านแม่ขุดผักป่าได้”
หรงหานพับแขนเสื้อขึ้นไปพลางพูดไปพลาง บาดแผลที่แขนของเขาเกือบจะหายดีแล้ว
ซูเสี่ยวหว่านมองดวงตาที่คาดหวังของเขาแล้วพยักหน้า "ก็ได้ แต่เสี่ยวหานต้องเชื่อฟังและทำได้เพียงงานเบาๆ เท่านั้นนะ ถ้าเจ้าฝืนตัว ครั้งหน้าแม่จะไม่พาเจ้าไปด้วยอีก"
เมื่อหรงหานได้ยินว่าซูเสี่ยวหว่านอนุญาตแล้ว ก็พยักหน้าทันที "เสี่ยวหานสัญญาว่าจะเชื่อฟังขอรับ"
หนึ่งร่างใหญ่และหนึ่งร่างเล็ก มุ่งหน้าไปยังหุบเขาเล็กๆ อย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ก็คือวันที่ตลาดนัดจะตั้งขึ้นทุกๆ เจ็ดวันครั้ง วันนี้นางจึงต้องเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้