บท
ตั้งค่า

บทที่ 12 ซูหลิงผู้น้อยเนื้อต่ำใจ

ซูหลิงถือผักป่าครึ่งตะกร้ากลับไป ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ คนที่บ้านทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว และไม่เหลือให้นางแม้แต่คำเดียว

เมื่อมองดูผักป่าครึ่งตะกร้าที่ตัวเองขนกลับมา ซูหลิงก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลย ของมากมายขนาดนี้ เอากลับมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร แม้ว่าคนที่บ้านจะได้ของพวกนี้ไปแต่พวกเขาก็คงไม่ใจดีกับนางมากนัก ไม่สู้เก็บไว้ให้ท่านพี่ดีกว่า

ขณะที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด เฉาซื่อก็ออกมาจากห้องด้านหลัง และบังเอิญเห็นซูหลิงยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว

เฉาซื่อไม่ชอบเห็นซูหลิงอยู่ว่าง เมื่อเห็นนางยืนอยู่เฉยๆ ที่ประตูห้องครัว ก็โกรธเดือดดาลขึ้นมาทันที

“มัวยืนบื้อทำสากกะเบืออะไรอยู่ตรงนั้น! ผักป่าที่ขุดมาไม่ต้องเอาไปตากแห้งหรอกหรือ? ฟืนในครัวก็ยังไม่เก็บกวาด ที่บ้านมีงานยุ่งทุกวัน เจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครอยู่ว่างๆ เหมือนเจ้าบ้าง”

ซูหลิงคุ้นเคยกับท่าทีของเฉาซื่อที่มีต่อนางมานานแล้ว นางเดินเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ และหยิบกระด้งไม้ไผ่สองอัน เตรียมที่จะตากผักป่าทั้งหมดที่นางนำกลับมา

ทันทีที่เข้าไปในบ้าน ก็ได้ยินเสียงเฉาซื่อตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างนอก "ซูหลิง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!"

ซูหลิงรีบหันหลังเดินออกมา เสียงของเฉาซื่อไม่เพียงแต่เรียกซูหลิงให้ออกมาเท่านั้น ยังเรียกทุกคนในบ้านออกมาอีกด้วย

“เมียเจ้าสาม เจ้าตะโกนอะไรกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าถือไม้เท้าเดินออกไปที่ประตู และคนอื่นๆ ก็เดินตามมาติดๆ

ซูหลิงออกมาด้วยสีหน้างุนงง แล้วก็เห็นเฉาซื่อถือเห็ดอยู่ในมือ

วันนี้เมื่อนางขุดผักป่ากับท่านพี่ พวกเห็ดต่างๆ กับผักป่าก็ใส่รวมมาด้วยกัน นางรีบร้อนกลับมา จึงไม่ได้ตรวจสอบให้ดี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเห็ดหนึ่งหรือสองดอกปะปนอยู่ในนั้น

เฉาซื่อใช้สองนิ้วคีบเห็ด ราวกับว่านางกำลังหยิบบางสิ่งที่น่าตกใจมาก

“พวกเจ้าดูสิ มีอะไรอยู่ในตะกร้าของนังตัวผลาญเงิน เห็ดพิษ”

พูดพลางก็เหลือบตามองซูหลิง “เจ้ามันนังคนใจดำ เอาเห็ดพิษปนมากับผักป่า คิดจะวางยาพิษพวกเราจนตายใช่ไหม?”

เดิมทีซูหลิงก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้ว ตอนนี้ในใจยิ่งรู้สึกไม่พอใจ "ข้าไม่ได้ตั้งใจ บางทีตอนที่ขุดผักป่าอาจไม่ตั้งใจเอามันใส่เข้ามา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แค่โยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่องแล้ว"

เมื่อเฉาซื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พอใจ "หมายความว่าอย่างไรที่ว่าโยนทิ้งไป มีเห็ดพิษปะปนอยู่ในนั้น ใครจะรู้ว่าผักป่าจะติดพิษไปด้วยหรือไม่"

ซูหลิงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉาซื่อพูด นางก็อดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ ผลลัพธ์ที่ได้กลับออกมาไม่น่าเกรงขามอย่างที่คิด "เห็ดหลายชนิดที่โตมากับผักป่า เมื่อก่อนพวกเราก็เก็บมันกินไม่ใช่หรือ?"

นางรู้อยู่แก่ใจว่าเฉาซื่อแค่อยากหาเรื่อง ถ้านางอดกลั้นไม่พูดอะไร ปล่อยให้นางดุด่าแค่ไม่กี่คำเรื่องก็จะจบลง แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็ทนไม่ได้

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ เฉาซื่อยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่พอใจแล้ว "ซูหลิง เหตุใดเจ้าถึงพูดกับป้าสะใภ้สามของเจ้าแบบนี้"

ซูหลิงก้มศีรษะ น้ำเสียงอ่อนลง “ท่านย่า ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย”

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็พูดกับผู้ใหญ่เช่นนี้ไม่ได้”

เมื่อเฉาซื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเข้าข้างนาง นางก็ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้น “ข้าแค่ว่าเจ้าไปสองคำ เจ้าเป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยหรืออย่างไร ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่สามารถว่าอะไรเจ้าได้เลยรึ?"

ซูถงที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยสนับสนุนอีกว่า "ใช่ ตั้งแต่ตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นหน้าเจ้า ตอนนี้พอมืดค่ำถึงแบกเอาของแค่นี้กลับมา แถมยังมาระบายอารมณ์แบบนี้อีก ที่แม่ข้าว่าก็เพราะมีเจตนาดีต่อเจ้าหรอก"

ทันทีที่ซูถงเอ่ยปาก ซูหลิงก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก อายุมากกว่าตัวเองแค่ไม่เท่าไหร่แท้ๆ กลับทำตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่มาสั่งสอนตัวเองตลอด

“ช่างเถอะๆ ก็แค่ตอนเก็บผักป่าเผลอเก็บเห็ดพิษไม่กี่ดอกติดมา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทุกคนเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว เหตุใดต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ด้วย”

เจ้าสามซูเจียจ้วงก็ไม่ค่อยพอใจที่เฉาซื่อผู้เป็นภรรยาทำเรื่องเล็กน้อยจุกจิกให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้

แต่ทันทีที่เขาปริปาก เฉาซื่อก็ถลึงตาจ้องเขา “เรื่องเล็กน้อยอะไรกัน ของมีพิษจะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้หรือ หากพิษของสิ่งนี้ปะปนอยู่ในผักป่า พวกเราทั้งบ้านมิต้องซวยหรอกหรืออย่างไร”

ซูเจียจ้วงไม่อยากโต้เถียงกับสตรี เขาจึงหมุนตัวแล้วกลับไปที่ห้อง

เฉาซื่อเริ่มกระปรี้กระเปร่า ยังคงบ่นซ้ำซากอีกนาน

ในที่สุดซูหลิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงของนางดังขึ้นอีกระดับ ตะโกนใส่เฉาซื่อไปว่า "เห็ดนั่นไม่มีพิษสักนิด!"

ฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังเตรียมจะกลับห้องชะงักฝีเท้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดอะไร?”

“ท่านพี่บอกว่า เห็ดพวกนี้บางชนิดมีพิษ บางชนิดก็ไม่มีพิษ เห็ดที่ข้าเลือกเก็บมาล้วนไม่มีพิษ”

พอคำพูดนี้ของซูหลิงหลุดออกไป ก็แย่แล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าปรี่ขึ้นมาหานาง “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร? วันนี้เจ้าไปขุดผักป่ากับพี่สาวเจ้ามางั้นรึ?”

ซูหลิงก็รู้เช่นกันว่าตัวเองไม่ควรพูดความจริง แต่ในใจรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ

เมื่อก่อนซูถงก็ออกไปข้างนอกทั้งวัน แม้แต่ตะกร้าใบเล็กๆ ก็ยังใส่ผักป่ามาไม่เต็ม แต่ยังถูกทุกคนในบ้านพูดชม แต่นางขุดมาได้กว่าครึ่งตะกร้าใหญ่ ไม่ถูกชมก็ช่างเถิด แต่นี่กลับถูกตำหนิเสียยกใหญ่

ต่างก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน ทว่ากลับแตกต่างกันมากขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกไม่ยุติธรรม

ซูหลิงก็รู้ว่านางไม่ควรพูดถึงท่านพี่ ท่านย่าไม่ชอบท่านพี่ หลังจากที่ท่านพี่แต่งงานออกไป ทุกคนในตระกูลซูก็หลีกเลี่ยงนางเหมือนนางเป็นตัวนำโรคระบาด

ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าท่านพี่หายดีแล้ว ยังคิดว่าท่านพี่เป็นคนโง่ ใครจะไปเชื่อคำพูดของคนโง่เล่า

“ข้า ข้า…” ซูหลิงอึกๆ อักๆ

เพี๊ยะ!

เฉาซื่อเดินดุ่มๆ เข้ามา ยกมือตบหลังศีรษะของซูหลิงหนึ่งฉาด

“เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ! คำพูดของคนโง่คนหนึ่ง เจ้ายังเชื่อ! ย่าเจ้าพูดกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าออกไปขลุกอยู่กับพี่สาวโง่ของเจ้าคนนั้น แต่เจ้ากลับหูทวนลม!”

“ท่านพี่ไม่ใช่คนโง่!”

ซูหลิงทนฟังคนอื่นพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับซูเสี่ยวหว่านไม่ได้ จึงโต้เถียงไปโดยไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่คำพูดออกจากปาก นางก็รู้สึกเสียใจภายหลัง ท่านพี่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่านางหายดีแล้ว

ครั้นจึงต้องเปลี่ยนคำพูด “ท่านพี่นางแค่ไม่สบาย นางจะหายดีแน่ๆ”

เพี๊ยะ!

เฉาซื่อตบนางอีกครั้ง

การตบทั้งสองครั้งนี้ไม่ใช่การใช้แรงตบเบาๆ แต่ตบจนทำให้ซูหลิงได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหัว

“ยังจะเถียงอีก! เจ้าคงไม่ได้โง่ไปอีกคนหรอกนะ!”

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็บิดเบี้ยวดูไม่ได้เช่นกัน “ซูหลิง ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว ห้ามเจ้าไปไหนมาไหนกับพี่สาวเจ้าตามลำพังอีก คืนนี้กลับไปสำนึกผิดในห้องเก็บฟืน พรุ่งนี้ห้ามกินข้าว!"

เฉาซื่อกับซูถงบรรลุเป้าหมายแล้ว มองไปที่ซูหลิงอย่างได้ใจ แล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

ซูหลิงยิ่งรู้สึกน้อยใจ ยืนเช็ดน้ำตาหลายครั้ง จากนั้นก็ตากผักป่าที่ตัวเองเก็บมา ก่อนจะเข้าไปในห้องเก็บฟืน

นอนในห้องเก็บฟืนก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรตลอดหลายปีนี้ก็ได้นอนอยู่บ่อยๆ โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว นอนในห้องเก็บฟืนจึงไม่ค่อยลำบากนัก

ซุกตัวอยู่ในมุมมืดของห้องเก็บฟืน ซูหลิงหยิบแป้งทอดสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อ ทันทีที่กัดคำหนึ่ง น้ำตาก็ไหลลงบนแป้งทอดเปาะแปะ

แป้งทอดสองแผ่นนี้ ท่านพี่กลัวว่านางกลับบ้านค่ำแล้วจะไม่มีอะไรกิน จึงยัดให้นางมา สถานการณ์ของท่านพี่แย่ขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงตัวเองอยู่ แล้วคนในตระกูลซูเล่า? เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูหลิงก็รู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ

ในขณะที่ตระกูลซูทะเลาะกันเอะอะเสียงดัง ทางฝั่งซูเสี่ยวหว่านกลับมีบรรยากาศที่แตกต่างออกไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel