บทที่ 5 สร้างเรื่อง
บทที่ 5
สร้างเรื่อง
อวี้หลันกลับมาที่จวนตระกูลอวี้พร้อมกับรั่วซี โดยนางได้ให้หลันหนิงเหมยและหลันหนิงหวงพักอยู่ที่อารามเป่าซานก่อน เมื่อถึงเวลาทั้งสองจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนตระกูลอวี้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางจะต้องลับไปพูดคุยกับบิดาเสียก่อน
"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ"
อวี้หลันตรงเข้ามาหาอวี้เฉินฟู่ยังห้องหนังสือ ทันทีที่นางกลับมาถึงจวนก็ตรงมาที่นี่ทันที
"โอ้ กลับมาแล้วหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?"
"ท่านไต้ซือดีกับลูกมากเลยเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือยังกล่าวกับลูกอีกนะเจ้าคะ เพราะผลบุญที่ลูกทำในครั้งนี้ ทำให้ท่านแม่สามารถปล่อยวางได้ จนสามารถเดินทางเข้าสู่แดนเซียนได้แล้ว แต่ก่อนไปท่านแม่ได้ทิ้งดวงจิตหนึ่งเสี้ยวไว้ให้คอยดูแลท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ"
อวี้เฉินฟู่ที่กำลังนั่งอ่านรายงานรีบลุกขึ้นมาจับแขนของบุตรสาวแน่น แววตาที่ผ่านโลกมามากมองมาด้วยความกังขา
"หมายความว่าอย่างไรหลันเอ๋อร์ ท่านไต้ซือว่าอย่างไรนะ?"
"ดวงจิตของท่านแม่เสี้ยวหนึ่งได้ผนึกเข้ากับดวงจิตของสตรีนางหนึ่งเจ้าค่ะ เพราะเวลานั้นนางอ่อนแอลงมาก ทำให้ดวงจิตของท่านแม่หลอมรวมเข้ากับดวงจิตของนางเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ ท่านไต้ซือได้กล่าวว่าเมื่อนางสิ้นอายุขัยลง ดวงจิตของท่านแม่กับดวงจิตของนางก็จะแยกออกจากกันเจ้าค่ะ แล้วก็จะกลับไปหาเจ้าของดั่งเดิม"
"นี่มันเรื่องอะไรกัน มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือหลันเอ๋อร์"
อวี้เฉินฟู่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังขา แต่เพราะนี่ออกมาจากปากของบุตรสาว และยังเป็นท่านไต้ซือที่บอกเรื่องนี้มาอีกด้วย ภายในใจของเขาจึงเอนเอียงว่าเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน
"คราแรกลูกก็ไม่เชื่อเจ้าค่ะ แต่นิสัยบางอย่างของนางคล้ายคลึงกับท่านแม่มากเลยเจ้าค่ะ ทำให้บางครั้งลูกรู้สึกราวกับท่านแม่มาอยู่ตรงนี้ด้วยเจ้าค่ะ"
อวี้เฉินฟู่ฟังคำพูดของบุตรสาวแล้วนิ่งไปชั่วครู่ หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวเพราะคิดถึงภรรยารักกลับมาสดใสอีกครั้ง เขาอยากจะเจอสตรีนางนั้นเหลือเกิน อยากรู้ว่านางจะเหมือนกับภรรยารักของเขามากเพียงใด
"นางอยู่ที่ไหน?"
"อารามเป่าซานเจ้าค่ะ นางมีนามว่าหลันหนิงเหมยเจ้าค่ะ"
"พ่อเข้าใจแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิดเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆมิใช่หรือ?"
"เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกลานะเจ้าคะ"
อวี้หลันเดินจากมาด้วยรอยยิ้ม ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่สนใจใคร่รู้ของบิดานางยิ่งพึงพอใจ เหตุที่นางกล่าวอ้างถึงท่านแม่นั้น ด้วยรู้ดีว่าบิดายังคงคิดถึงท่านแม่ผู้ล่วงลับไปมาก มากจนกระทั่งละเลยคนที่ยังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนาง น้องชาย หรือแม้แต่สองแม่ลูกนั่น เพราะเช่นนี้ไงเล่าโจวลี่เฟยและอวี้ซูเยว่ถึงได้โกรธเกลียดนางกับน้องชายนัก เพราะบิดาเอาแต่คิดถึงคนที่จากไปจนหลงลืมคนที่ยังมีชีวิตอยู่
การที่บิดาคิดถึงและโหยหามารดานั้นไม่ผิดหรอก แต่ผิดที่เขาละเลยคนที่ยังอยู่ต่างหากเล่า!
ด้วยเหตุผลนี้เองนางจึงอยากจะเป็นลูกกตัญญู ให้บิดาได้อยู่กับความคาดหวังและความเข้าใจผิด ตอบแทนที่เจ้าของร่างเดิมต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสเพราะบิดาที่ไม่เอาไหนผู้นี้!! และยังเป็นการแก้แค้นเอาคืนโจวลี่เฟยด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่วันอวี้เฉินฟู่ก็ได้ไปเยือนอารามเป่าซาน เขาอยากรู้ว่าสตรีนามว่าหลันหนิงเหมยจะเหมือนภรรยารักของเขาตามที่บุตรสาวกล่าวอ้างหรือไม่ และเมื่อเขาได้สนทนากับหลันหนิงเหมยเพียงชั่วครู่ หัวใจของเขาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะว่ามีหลายสิ่งที่นางนั้นเหมือนกับภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วมาก นั่นจึงทำให้อวี้เฉินฟู่ปักใจเชื่อว่าดวงจิตของภรรยารักได้หลอมรวมเข้ากับดวงจิตของหลันหนิงเหมย
"ขอบคุณคุณหนูหลันมากที่มาเดินเล่นเป็นเพื่อนคนแก่ เวลานี้บ่ายคล้อยมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน วันหน้าคงได้พบกันอีก"
"หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยท่านเสนาบดีได้ ข้าย่อมยินดีเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่อวี้เองก็ดีกับข้าและน้องมากเหลือเกิน...หากมารดากับบิดาของข้ายังอยู่ ข้ากับน้องคงมีความสุขมากกว่านี้นะเจ้าคะ"
ใบหน้าของหลันหนิงเหมยพลันเศร้าหมองเมื่อนึกถึงบิดามารดา นั่นยิ่งทำให้บุรุษในวัยกลางคนรู้สึกเป็นห่วงสตรีตรงหน้ายิ่งนัก
"คุณหนูหลันอย่าได้เศร้าใจไปเลย บิดามารดาของเจ้าได้ไปอยู่ร่วมกันแล้ว แต่เจ้ากับน้องชายของเจ้านี่สิที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป"
"ข้าเป็นคนอาภัพรักเจ้าค่ะ ไม่ว่าบุรุษใดก็คงไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับสตรีที่บิดาต้องโทษหรอกเจ้าค่ะ"
"อาจจะมีบุรุษที่ไม่รังเกียจเจ้าก็ได้นะ แต่บุรุษผู้นั้นเจ้าอาจจะไม่ชมชอบเขาก็เป็นได้"
"ใครหรือเจ้าคะที่จะมาชอบสตรีที่มีแต่ตัวเช่นข้า"
แววตาคู่สวยช้อนขึ้นมามองสบสายตาของอวี้เฉินฟู่ ก่อนจะเสใบหน้าหลบสายตาไปด้วยความเอียงอายเล็กน้อย คำพูดของเขาเมื่อครู่นางจะฟังไม่รู้ความเลยหรือ นางเองก็หาใช่สตรีแรกแย้มไม่ อายุของนางก็ได้เลยวัยออกเรือนมานานแล้ว หากการได้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นี้ก็นับว่าไม่เลวเลย
คำกล่าวของอวี้หลันที่เคยพูดไว้เมื่อครั้งนั้นได้ดังขึ้นมาในหูของนางอีกครั้ง...
โจวลี่เฟยจับสังเกตสามีได้ว่าเขานั้นเริ่มเปลี่ยนไป เขายังคงเป็นสามีที่ดีที่ให้เกียรตินางในฐานะภรรยารอง และมอบเงินทองให้นางกับลูกใช้สอยไม่ขาดมือ แต่นับตั้งแต่ที่อวี้หลันกลับมาจากอารามเป่าซาน และสามีของนางได้ไปอารามเป่าซานในครั้งนั้น เขาก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย
บางครานางก็เห็นว่าเขาเหม่อลอยราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ บางคราก็เห็นเขาถอนหายใจออกมาอย่างคนคิดหนัก และบางครานางก็เห็นว่าเขาหยิบรูปวาดมารดาของอวี้หลันขึ้นมาดูแล้วยิ้มออกมาคนเดียว นี่ยิ่งทำให้โจวลี่เฟยไม่สามารถสงบใจได้ นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าที่อารามเป่าซานมีสิ่งใดที่สองพ่อลูกซุกซ่อนอยู่กันแน่ แต่ก่อนอื่นนางจะต้องหาทางกำจัดอวี้หลันออกไปเสียก่อน ยิ่งอวี้หลันไม่ใช่ลูกเลี้ยงที่เชื่อฟังนางอีกต่อไปเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องให้อวี้หลันอยู่ในจวนนี้ต่อไป!
ท้องพระโรง
'ฮ่องเต้เจิ้งชุนฟง' ได้ออกว่าราชกิจช่วงเช้าตามปกติ แต่ครานี้กลับมีเรื่องที่พระองค์คิดไม่ตก และต้องการให้เหล่าขุนนางช่วยแก้ปัญหานี้ด้วย
"เจิ้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเจ้าช่วยเจิ้นคิดเสียหน่อย"
พระสุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากการประชุมเรื่องงานราชกิจช่วงเช้าจบลง เหล่าขุนนางที่ยืนกันเต็มท้องพระโรงต่างยืดแผ่นหลังตรง เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะตรัส เรื่องใดหนอที่ฮ่องเต้ถึงกลับทรงคิดไม่ตก
"ฝ่าบาททรงตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ"
เสนาบดีกู้แห่งกรมยุติธรรมเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เจิ้นต้องการหาสตรีที่จะมาเป็นพระชายาองค์ชายสามเท่านั้นเอง"
ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบเสียงลงทันใด แค่ได้ยินชื่อขององค์ชายสามทุกคนก็อยากจะรีบถอยหนี ไม่มีผู้ใดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายสามที่ได้ชื่อว่า 'เป็นจอมเสเพลแห่งเมืองหลวงหรอก'
"เอ่อ...องค์ชายสามทรงมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่มี แต่องค์ชายสามต้องการสตรีที่มีคุณสมบัติดังนี้ หลีกงกง..."
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
หลีกงกงก้าวขึ้นมาด้านหน้า แล้วกางม้วนสีเหลืองทองออกมา
"คุณสมบัติของสตรีที่จะขึ้นมาเป็นพระชายาเอกขององค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าวมีดังนี้ หญิงสาวพรหมจรรย์ที่มีอายุระหว่าง 18-19 หนาว เป็นสตรีที่มีดวงตากลมโตดั่งตากวาง จมูกโด่งเรียวสวย ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำ รูปโฉมงดงามหมดจด ไร้ไฝฝ้าบนใบหน้าให้ต้องระคายสายตา ผิวกายขาวเนียนละเอียดดั่งหยก ต้องเป็นสตรีที่เกิดจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีพี่ชายร่วมมารดา ส่วนเรื่องงานบ้านงานเรือน และศาสตร์ทั้งสี่ไม่ต้องชำนาญ สตรีใดที่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาข้างต้น จะได้รับสมรสพระราชทาน และแต่งตั้งให้เป็นพระชายาเอกในองค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าว!!"
สิ้นคำประกาศของหลีกงกงเหล่าขุนนางต่างทำหน้าตาแปลกประหลาด คุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นนี้ช่างเหมาะสมกับองค์ชายสามเสียจริง เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ต่างพากันโล่งใจที่บุตรสาวของพวกเขาไม่ผ่านคุณสมบัติในข้อนั้น สายตาหลายคู่จึงจ้องมองไปทางขุนนางฝ่ายบุ๋นแทน
"เอ่อ...คุณสมบัติที่กล่าวมานี้ค่อนข้างจะหายากนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะโดยส่วนมากสตรีที่อายุ 17 หนาวขึ้นไปต่างมีคู่ครองกันไปเกือบหมดแล้ว และสตรีที่ไม่มีพี่ชายร่วมมารดาก็หาได้น้อยมาก เช่นนี้...เราตามหาสตรีจากนอกเมืองหลวงหรือนอกแคว้นดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
เสนาบดีกู้เอ่ยขึ้นด้วยความอับจนปัญญา ตัวเขาเองก็มีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง แต่ว่านางเป็นที่หมายปองขององค์รัชทายาทไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
"เจิ้นเองก็คิดเช่นนั้น หากในเมืองหลวงไม่มีสตรีที่มีคุณสมบัติตามนี้ก็ลองสืบหาจากต่างเมืองก่อน แต่ถ้ายังไม่มีข้าคงต้องส่งคนไปตามหานอกแคว้นแล้วล่ะ เจ้าลูกชายคนนี้ของข้าก็ช่างเหลือเกิน แค่จะแต่งพระชายายังเลือกมากถึงเพียงนี้อีก"
เจิ้งชุนฟงตรัสออกมาด้วยความจนใจ ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าเจิ้งจื่อห้าวต้องการสตรีแบบใด พระองค์ก็แทบจะล้มทั้งยืน จะมีครั้งใดบ้างหนอที่เจิ้งจื่อห้าวจะไม่สร้างเรื่องปวดหัวให้กับพระองค์ คงต้องโทษที่พระองค์ตามใจพระโอรสคนนี้มากเกินไป
ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังโล่งใจ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
"กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าในเมืองหลวงก็มีสตรีนางหนึ่งที่มีคุณสมบัติตามนี้อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ"
'โจวหยวน' รองเสนาบดีกรมยุติธรรมได้ก้าวออกมาข้างหน้า มุมปากของเขาแสยะยิ้มร้าย เมื่อคิดว่านี่คือโอกาสที่เขาจะช่วยเหลือบุตรสาวในการถางทางให้กับนางได้
"บุตรสาวตระกูลใด?"
"กระหม่อมคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายสามได้เท่ากับคุณหนูใหญ่อวี้หลันแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมจำไม่ผิดนางยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย และยังมีใบหน้าที่งดงามหมดจดตรงตามที่องค์ชายสามต้องการ ทั้งยังไม่มีพี่ชายแต่มีน้องชายร่วมมารดา ส่วนงานบ้านงานเรือนและศาสตร์ทั้งสี่ก็...ไม่ได้ประจักษ์นัก บุตรสาวของกระหม่อมซึ่งเป็นฮูหยินรองเคยกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ไม่เก่งงานพวกนี้เลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแอของนางพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าคุณหนูใหญ่อวี้หลันเหมาะสมกับองค์ชายสามที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้เฉินฟู่แทบอยากจะเดินเข้าไปทุบพ่อตาของเขาผู้นี้เหลือเกิน กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดให้หลันเอ๋อร์ของเขาต้องไปแต่งงานกับองค์ชายจอมเสเพลผู้นั้นกัน แต่เพราะอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทเขาจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มเท่านั้น
"ทูลฝ่าบาท บุตรสาวของกระหม่อมร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก เกรงว่าจะทำหน้าที่พระชายาไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ"
เจิ้งชุนฟงราวกับเห็นแสงสว่างอยู่ตรงปลายทาง ตระกูลอวี้ก็นับว่าไม่เลวเลย บิดาเป็นถึงขุนนางขั้นสาม และมารดายังเป็นคนตระกูลมู่ที่ปกครองแดนเหนืออีก นี่สิถึงจะเหมาะสมกับฐานะสะใภ้ของราชวงศ์
"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจิ้นย่อมต้องส่งหมอหลวงและมอบยาชั้นเลิศให้ว่าที่ลูกสะใภ้ของเจิ้นอยู่แล้ว เจ้าสามเองก็ไม่ได้ต้องการภรรยาที่เก่งเรื่องงานบ้านงานเรือน เสนาบดีอวี้โปรดวางใจเถิด บุตรสาวของเจ้าเมื่อแต่งเข้ามาในราชวงศ์จะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน"
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่ศีรษะของอวี้เฉินฟู่ คำตัดสินของฝ่าบาทถือเป็นที่สิ้นสุด เขาไม่สามารถช่วยบุตรสาวได้เลย สายตาคู่คมจับจ้องมองไปทางโจวหยวนอย่างไม่วางตา เป็นเพราะเขาคนเดียวที่ได้พรากบุตรสาวของเขาไป!
"ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้เฉินฟู่คุกเข่าลงด้วยท่าทีที่อ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง...