บทที่ 4 ตัวประกอบ
บทที่ 4
ตัวประกอบ
รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ได้เคลื่อนเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากอารามเป่าซานมากนัก ตั้งแต่รถม้าที่เคลื่อนเข้ามาก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน เพราะไม่บ่อยมากนักที่ในหมู่บ้านจะมีรถม้าขับเข้ามาเช่นนี้ รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งรถม้าได้จอดสนิทหน้าบ้านไม้หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน
"ท่านพี่ขอรับมีรถม้ามาที่บ้านเราขอรับ"
เด็กชายที่อายุน่าจะเท่ากับน้องชายของอวี้หลันเอ่ยเรียกคนในบ้าน ด้วยตอนนี้เขากำลังนั่งถอนผักอยู่ที่แปลงหน้าบ้าน เด็กชายชะเง้อมองรถม้าหน้าบ้านด้วยความสนใจใคร่รู้
"ใครมากันอาหวง"
น้ำเสียงแว่วหวานที่ฟังเปล่งหูเอ่ยถามมาจากในบ้าน พร้อมกับร่างของสตรีนางหนึ่งที่หน้าตามอมแมมเดินออกมาจากในบ้าน นางมองอวี้หลันที่ก้าวลงมาจากรถม้าด้วยความประหลาดใจ
"คุณหนูใหญ่อวี้?" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
"ไม่ได้พบกันนานเลยนะคุณหนูหลัน"
"ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหาใช่ชนชั้นสูงแล้วไม่ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น"
ในน้ำเสียงของ 'หลันหนิงเหมย' มีความเศร้าซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา จากคุณหนูสูงศักดิ์ที่มีพร้อมทุกสิ่งอย่าง กลับต้องตกระกำลำบากเพราะตระกูลถูกยึดทรัพย์ด้วยข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง บิดาถูกสังหารอย่างไร้ความเป็นธรรม มารดาต้องตรอมใจตาย ส่วนนางกับน้องชายต้องออกจากจวนหลังใหญ่มาอยู่บ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน ชีวิตของนางกับน้องชายยากแค้นแสนเข็ญยิ่งนัก
"ข้าขอเข้าไปคุยด้านในได้หรือไม่"
"เชิญเจ้าค่ะ บ้านของข้าออกจะคับแคบเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ"
ภายในบ้านของหลันหนิงเหมยนั้นแสนจะเรียบง่าย มีแค่ของใช้ที่ทำจากไม้ราคาถูกเท่านั้น น้ำชาที่เอาออกมารับแขกก็เป็นเพียงชาราคาถูก แต่ถึงอย่างนั้นอวี้หลันก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดูถูกหรือแสดงอาการเหยียดหยามเลย
"นี่คือน้องชายของเจ้าหรือ ชื่ออะไรเล่า"
"ข้าน้อยชื่อหลันหนิงหวงขอรับ พี่...เอ่อคุณหนูเป็นสหายของท่านพี่หรือขอรับ" หลันหนิงหวงเอ่ยถามด้วยความประหม่า
"เรียกข้าว่าพี่สาวหลันก็ได้ ใช่แล้วล่ะข้าเป็นสหายของพี่สาวเจ้า"
"จริงหรือขอรับ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีสหายมาหาท่านพี่ของข้า"
หลันหนิงหวงตาโตกับคำตอบของอวี้หลัน ก่อนที่เขาจะถูกปรามด้วยสายตาจากพี่สาว
"อาหวง เจ้าไปรอพี่ข้างนอกก่อน พี่มีเรื่องจะต้องพูดคุยกับสหายของพี่"
"ขอรับ"
หลันหนิงหวงตอบรับอย่างว่าง่าย เขาเดินจากไปโดยมีรั่วซีเดินตามมาไม่ห่าง รั่วซีหยิบขนมออกมามอบให้แก่หลันหนิงหวง เด็กชายดีใจเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความยินดี หลันหนิงเหมยที่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องชายพลันรู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจ ตั้งแต่ที่พาน้องชายมาอยู่ที่นี่ แม้เขาจะเป็นเด็กร่าเริงและยิ้มให้กับนางเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ไปถึงดวงตาของเขา
ภายในใจของหญิงสาวรู้สึกขมฝาดกับชะตาชีวิตของตนเองและน้องชาย
"คุณหนูใหญ่อวี้มาหาข้าถึงที่นี่มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ?"
หลันหนิงเหมยเอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก เมื่อภายในบ้านเหลือเพียงแค่พวกนางสองคน
"ข้าต้องการมอบสิ่งที่เจ้าปรารถนา"
"ท่านรู้หรือว่าข้าต้องการสิ่งใด"
หลันหนิงเหมยเลิกคิ้วขึ้น นางไม่เชื่อหรอกว่าสตรีตรงหน้าจะรู้ความปรารถนาของนาง ต่อให้รู้แล้วจะทำสิ่งใดได้
"แก้แค้น! เจ้าต้องการแก้แค้นคนที่ทำให้ตระกูลของเจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านล้อข้าเล่นแล้ว คนที่ข้าแค้นที่สุดคือฮูหยินรองอวี้ ท่านจะช่วยข้าเช่นนั้นหรือ อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย ท่านกลับไปเสียเถิด"
หลันหนิงเหมยหันหน้าไปอีกทาง ดวงตาของนางแดงฉานเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อ 5 ปีก่อน
ตอนนั้นบิดาของนางถูกปรักปรำ ตระกูลของนางถูกริบทรัพย์และบิดาถูกต้องโทษประหารอย่างไม่เป็นธรรม ในวันนั้นมารดาได้ไปเยือนจวนตระกูลอวี้
"เฟยเอ๋อร์ ได้โปรดเถิด...เจ้าช่วยพูดกับท่านเสนาบดีทีว่าสามีของข้าหาได้ทำเรื่องเช่นนั้นไม่ เขาถูกใส่ความ"
"ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ ที่ตระกูลเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องโทษความโง่เขลาของสามีเจ้าเอง"
"จะ...เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
โจวลี่เฟยมองมาอย่างเหยียดหยาม สายตาของนางมีทั้งความดูถูกและสมเพชในตัวสหายผู้นี้
"ถ้าสามีของเจ้ายอมช่วยน้องชายของข้า ตระกูลโจวของข้าก็คงไม่ต้องลงมือหนักเพียงนี้ เป็นความผิดของสามีเจ้าเองที่ถือความถูกต้องเป็นหลัก แค่ทำเป็นหลับหูหลับตาไม่สั่งลงโทษน้องชายของข้า บิดาข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก"
"นี่เจ้า! ร้ายกาจนัก แค่สามีข้าตัดสินว่าน้องชายของเจ้าผิด พวกเจ้าถึงกับใส่ความเขาเช่นนี้เลยหรือ ชั่วช้ายิ่ง ตระกูลโจวของเจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่"
โจวลี่เฟยง้างมือตบที่ใบหน้ามารดาของหลันหนิงเหมยอย่างแรง
เพียะ!!
"เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดีเถิด ตอนนี้ตระกูลโจวของข้าเรืองอำนาจ ข้าจะสั่งให้เจ้าและลูกสาวของเจ้าถูกขายไปยังหอนางโลมก็ยังได้ แต่ข้ายังเห็นแก่ความเป็นสหายของเราสองคน ข้าจึงได้ยอมปล่อยพวกเจ้าแม่ลูกไป รู้เอาไว้เสียเถิดว่าข้าใจดีแค่ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า"
โจวลี่เฟยหัวเราะขำ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะมองอดีตสหายที่หัวใจต้องแตกสลายกับความจริงนี้เลย...
เรื่องในวันนั้นมารดาของหลันหนิงเหมยได้กลับมาเล่าให้นางฟัง มารดาร้องไห้เสียใจด้วยหัวใจที่แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนมารดาก็ได้ตรอมใจตายไปอีกคน ทิ้งให้นางต้องอยู่กับน้องชายบนโลกอันแสนเลวร้ายกันเพียงลำพัง
หลันหนิงเหมยออกจากภวังค์ความคิดของตน นางกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
"เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าเองก็ถูกโจวลี่เฟยทำร้ายมาเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าย่อมไม่คิดจะยอมให้ศัตรูเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของข้าหรอกนะ"
หลันหนิงเหมยหันกลับมามองทันที นางเริ่มสนใจในสิ่งที่อวี้หลันต้องการจะเอ่ย
"ท่านต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรง ๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อมอีกเลย"
"ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน น้องชายของเจ้าจะได้เข้าเรียนสำนักศึกษาหลวง และเจ้าจะได้แก้แค้นคนที่ทำกับครอบครัวของเจ้าด้วย"
"แลกกับอะไร?"
"ชีวิตของเจ้า...เจ้าจะต้องเข้ามาเป็นฮูหยินสามของบิดาข้า เพื่อแลกกับการแก้แค้นเอาคืนโจวลี่เฟย ข้าให้สัญญาว่าคนที่ทำให้ครอบครัวเจ้าต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ จะต้องมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าอย่างแน่นอน "
"อะไรนะ!! ท่านบ้าไปแล้วหรือคุณหนูใหญ่อวี้ บิดาของท่านอายุเกือบเท่าบิดาของข้าเลยนะ"
"แต่บิดาของข้าหนุ่มกว่า และหล่อเหลากว่าบิดาของเจ้านะ บิดาของข้าเพิ่งจะอายุ 40 เอง ยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังมีอำนาจที่เจ้าต้องการ และการที่เจ้าเข้ามาเป็นฮูหยินสามของบิดาข้า โจวลี่เฟยย่อมต้องโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดเป็นแน่ ด้วยความสาวและความสวยของเจ้าจะทำให้นางอยู่ไม่เป็นสุขเลยล่ะ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?"
"ไม่ นี่มัน..."
"บิดาข้าเป็นคนที่ใช้ได้เลยนะ เจ้าเอากลับไปคิดแล้วกันว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ หรือจะกลับไปผงาดอีกครั้งในวงสังคมชั้นสูง แต่ข้าคงให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งคืนเท่านั้น เพราะข้าจะต้องกลับจวนวันพรุ่งยามซื่อนี้แล้ว ถ้าเจ้าตกลงก็มาหาข้าที่อารามเป่าซานได้เลย แล้วข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง!"
อวี้หลันส่งยิ้มมาให้กับหลันหนิงเหมยก่อนจะเดินจากไป...
หลังจากที่อวี้หลันได้จากไปไกลแล้ว หลันหนิงเหมยยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นางกำลังคิดทบทวนคำพูดของอวี้หลันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
"ท่านพี่เป็นอะไรไปขอรับ สหายของท่านพี่เอาเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านพี่หรือขอรับ" หลันหนิงหวงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่ใช่หรอก นางแค่มามอบทางเลือกให้พี่เท่านั้น อาหวง...เจ้าอยากเข้าสำนักศึกษาหลวงหรือไม่?"
"ข้า...ข้าไม่อยากเข้าขอรับท่านพี่"
หลันหนิงหวงเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบา ในแววตาของเขาวูบไหวไปมา เขารู้ดีว่าด้วยฐานะของพวกเขาตอนนี้ไม่สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงได้หรอก แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดก็ตาม...
"เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเก็บเสื้อผ้าเถิด พรุ่งนี้เราจะต้องไปอารามเป่าซานแต่เช้า ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม"
หลันหนิงเหมยพลันตัดสินใจได้ในทันที นางเข้ามาโอบกอดน้องชายที่แสนดีของตนเอาไว้แน่น แม้ว่านางจะต้องขายวิญญาณ ถ้าทำให้น้องชายของนางมีความสุขได้ นางก็ยอม!!
วังเจียวจิน
บุรุษที่มีเครื่องหน้าหล่อเหลาดั่งหยกสลักกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้ยวี่มู่ เบื้องหน้าของเขามีหญิงงามกว่าสามสิบนางกำลังร่ายรำกันอย่างอ่อนช้อยตามจังหวะดนตรี ทางด้านข้างของเขามีหญิงงามที่คอยป้อนผลผูเถา(องุ่น) และเมื่อเขายื่นจอกสุราที่หมดลงไปด้านหน้า หญิงสาวอีกนางก็รีบรินสุราผลท้อราคาแพงให้แก่เขาทันที
ชีวิตของบุรุษผู้นี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เพียงแค่เอ่ยปากคำเดียวก็มีสตรีมากมายพร้อมจะทอดกายและถวายการรับใช้ด้วยความเต็มใจยิ่ง เพราะเขาคือบุรุษที่มีทั้งรูปโฉมงดงามราวกับสตรี และอำนาจเงินทองที่พวกนางต่างเฝ้าฝันถึง ขอแค่ได้ปรนนิบัติเขาแค่ครั้งเดียว ชีวิตของพวกนางก็สุขสบายแล้ว
"องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นรูปวาดของสาวงามที่ฝ่าบาททรงประทานมาให้พ่ะย่ะค่ะ"
หลีกงกงเดินเข้ามาพร้อมกับภาพวาดที่อยู่ในมือของเขากว่า 50 ภาพ ใบหน้าของขันทีชรามีแต่ความหนักใจในตัวเจ้านายของตน เมื่อไหร่หนอองค์ชายของเขาจะเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที วัน ๆ เอาแต่ร่ำสุรานารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บางวันก็ออกไปละเล่นกระพนันที่หอเดือนดับ
"ข้าไม่อยากดู" เขาเอ่ยตอบอย่างเฉยชา แล้วหันไปอ้าปากกว้างเพื่อรับผลผูเถาจากหญิงงาม
"แต่นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรองค์ชายก็ต้องเลือกสตรีในนี้มาเป็นพระชายานะพ่ะย่ะค่ะ"
'เจิ้งจื่อห้าว' องค์ชายสามที่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรำคาญใจ เขาโบกมือให้เหล่านางรำและสตรีที่อยู่รับใช้ให้ออกไปก่อน
"เอามานี่"
หลีกงกงยกยิ้มกว้างด้วยความยินดี เขารีบนำภาพวาดทั้ง 50 นางมามอบให้แก่องค์ชายสามทันที เจิ้งจื่อห้าวรับมาเปิดดูทีละภาพช้า ๆ แล้วตำหนิหญิงสาวแต่ละนางไปทีละข้อ
"ดวงตาของนางเล็กเกินไป ข้าชอบสตรีที่มีดวงตากลมโต อืม...คนนี้มีไฝที่ปาก นางจะต้องบ่นข้าเก่งแน่ ๆ ไม่ดี ๆ ส่วนคนนี้มาจากตระกูลแม่ทัพ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับตระกูลแม่ทัพ และคนนี้อายุน้อยเกินไป ข้าชอบสตรีที่อายุสักสิบแปดสิบเก้า คนนี้ก็อายุมากเกินไป ส่วนคนนี้ก็..."
"พอก่อนพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงตรัสมาเลยดีกว่าว่าต้องการพระชายาแบบไหน กระหม่อมจะได้ไปแจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบ"
ประโยคนี้แหละที่เขาอยากได้ยินมากที่สุด เขาไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดที่ตรงตามที่เขาต้องการหรอก
"สตรีที่อายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี มีผิวกายขาวเนียนละเอียดดั่งหยก ดวงตากลมโตดั่งตากวาง จมูกโด่งเรียวสวย ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำ ไม่มีไฝฝ้าตรงส่วนใดของใบหน้าให้ระคายสายตา ไม่ใช่บุตรสาวตระกูลแม่ทัพ ไม่มีพี่ชาย ไม่ต้องเก่งงานบ้านงานเรือน ไม่ต้องเก่งศาสตร์ทั้งสี่ เพราะข้าต้องการภรรยาไม่ได้ต้องการสตรีที่ต้องเก่งทุกด้าน ขอแค่มีรูปโฉมงดงามก็เพียงพอแล้ว"
หลีกงกงแทบจะล้มทั้งยืนกับคำพูดของเจิ้งจื่อห้าว สตรีที่ตรงกับคุณสมบัติทั้งหมดนี้จะหาได้จากที่ไหน ที่น่าหนักใจที่สุดก็คืออายุที่องค์ชายสามต้องการต่างหากเล่า ในแคว้นเจิ้งนี้จะหาสตรีที่อายุสิบแปดสิบเก้าที่ยังไม่ออกเรือน และไม่มีคู่หมายได้สักกี่คนกัน เดิมทีแล้วสตรีที่อายุสิบเจ็ดก็เริ่มมองหาคู่ครองกันแล้ว นี่องค์ชายสามคิดจะบ่ายเบี่ยงไม่ต้องการแต่งงานสินะ
เขารู้ทันหรอกนะ และฮ่องเต้ก็ต้องทรงรู้ทันพระโอรสของพระองค์อย่างแน่นอน!