บทที่ 3
เช้าวันรุ่งขึ้น เมธาวีไปโรงเรียนด้วยใบหน้าที่อิดโรย พีรดนย์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นจะทักทายก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีท่าทางผิดปกติ ไม่สดชื่นเหมือนอย่างทุกวัน เด็กหนุ่มรอจนเมธาวีเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะเรียนซึ่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“เมดูไม่สดชื่นเลย ไม่สบายเหรอ”
“ฝันร้ายน่ะพี ในฝันเมเห็นปิ่นปักผมอันนั้นด้วย” เมธาวีเล่าเรื่องความฝันให้พีรดนย์ฟังอย่างละเอียด
“แปลกจัง เมื่อคืนพีก็ฝันถึงปิ่นเหมือนกัน พีฝันเห็นผู้ชายสองคน คนหนึ่งแต่งตัวดูเหมือนเป็นเจ้านาย อีกคนน่าจะเป็นลูกน้อง กำลังช่วยกันหลอมโลหะ ที่จริงเป็นตัวเจ้านายที่ทำ ส่วนลูกน้องคอยสอน คอยบอกว่าต้องทำยังไง พอทำเสร็จก็เอามาอวดให้ลูกน้องดู พีก็เลยเห็นว่าเขาทำปิ่นปักผมรูปกริช พีตื่นมายังคิดเลยว่าสงสัยจะเก็บเอาปิ่นไปฝันถึง ไม่นึกว่าเมก็จะฝัน ถึงจะไม่เหมือนกันแต่ก็มีปิ่นเป็นจุดร่วม” พีรดนย์เล่าแล้วอธิบายถึงความคิดของตนเอง
“เย็นนี้พีรีบกลับบ้านหรือมีธุระอะไรไหม ไปพิพิธภัณฑ์เป็นเพื่อนเมหน่อยนะ”
“เอาปิ่นกลับไปคืนให้คนนั้นใช่ไหม ได้สิเลิกเรียนแล้วเราไปกันเลย จะได้ไปถึงก่อนพิพิธภัณฑ์ปิด” พีรดนย์ตกลง
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เด็กทั้งสองก็รีบเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ ทั้งคู่ตรงเข้าไปยังร้านขายของที่ระลึก เมื่อเปิดประตูเข้าไปยังภายในร้าน ก็พบกับหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างท้วม ใบหน้ากลมส่งยิ้มให้อย่างใจดี
“สวัสดีค่ะ” คนขายเอ่ยทัก
“สวัสดีค่ะ เอ่อ พี่ผู้ชายคนเมื่อวานไม่อยู่เหรอคะ” เมธาวีถามเมื่อมองไปโดยรอบแล้วไม่เห็นชายคนเมื่อวาน
“ผู้ชาย คนไหนคะ” หญิงสาวย้อนถามพลางขมวดคิ้ว
“เมื่อวานผมกับเพื่อนเข้ามาซื้อของที่นี่ครับ แล้วเจอพี่ผู้ชายคนหนึ่งผิวคล้ำหน่อย ตัวสูงใหญ่ ผมรองทรง เขาขายหนังสือให้น่ะครับ” พีรดนย์เป็นผู้ตอบคำถาม
“เอ่อ ทางร้านเราไม่มีคนขายเป็นผู้ชายนะคะ แล้วเราก็ไม่ขายหนังสือด้วยค่ะ มีแต่โปสเตอร์ รูปภาพประกอบการศึกษา โปสต์การ์ด แล้วก็ของที่ระลึกทั่วไปค่ะ น้อง ๆ จำผิดร้านมั้ยคะ อาจจะเป็นร้านโน้นหรือเปล่า” หญิงคนขายชี้ไปยังร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“ร้านนี้ค่ะ เมจำได้ ไม่ผิดหรอกค่ะ” เด็กสาวยืนยัน
“เราไม่มีคนขายผู้ชายจริง ๆ ค่ะ เอ๊ะ แล้วมาตามหาแบบนี้ เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”
“คือคนนั้นเขาให้…”
“ผมจะมาถามข้อมูลที่จะทำรายงานเพิ่มน่ะครับ เมื่อวานพี่เขาบอกว่าถ้าติดขัดให้แวะมาหาได้” เด็กหนุ่มจับข้อมือของเพื่อนไว้แล้วมองสบตาเป็นสัญญาณไม่ให้เมธาวีพูดต่อ ทำเป็นว่าต้องการสอบถามเกี่ยวกับการเรียนแทน
“อ๋อ ค่ะ เข้าใจแล้ว พี่ว่าน้องลองไปที่ร้านหนังสือดูแล้วกันนะคะ”
“ขอโทษที่รบกวนเวลานะครับ” เด็กทั้งสองคนยกมือไหว้แล้วเดินออกจากร้าน พีรดนย์จูงมือเมธาวีให้เดินตามไปนั่งยังโต๊ะม้าหินที่วางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่สำหรับให้คนมานั่งพัก
“ทำไมพีไม่ให้เมพูดล่ะ” เมธาวีถามขึ้นทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย
“พีว่ามันแปลก ๆ นะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาต้องโกหกนี่นา แล้วอีกอย่างพีมองผ่าน ๆ แล้ว ในร้านเขาไม่มีหนังสือขายจริง ๆ ด้วย”
“งั้น เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับเราล่ะพี แล้วปิ่นอันนี้เราได้มาจากใครกันแน่ เมงงไปหมดแล้ว” เด็กสาวล้วงเอากล่องใส่ปิ่นในกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะ
มือขาวเรียวดูบอบบางราวกับมือผู้หญิงของพีรดนย์เปิดกล่องแล้วหยิบปิ่นขึ้นพลิกดูไปมา
“นั่นสิ พีก็ไม่เข้าใจ จะว่าโดนผีหลอกก็ไม่น่าใช่นะ กลางวันแสก ๆ เห็นชัดขนาดนั้นแถมยังมีของที่จับต้องได้เป็นหลักฐานอยู่ตรงนี้อีก”
เมธาวีมองปิ่นปักผมที่อยู่ในมือเพื่อนแล้วถอนใจ จนปัญญาไม่รู้จะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
“ปรึกษาคุณลุงคุณป้าดีไหม” พีรดนย์เสนอขึ้นให้เพื่อนปรึกษากับบิดามารดา
“กลัวจะโดนดุน่ะสิ รับของคนแปลกหน้าไม่เท่าไหร่ ถ้าบอกว่าจะเอามาคืนแล้วจะอธิบายยังไงล่ะว่าผู้ชายคนนั้นตกลงไม่ใช่คนขายของ แต่เป็นใครก็ไม่รู้หาตัวไม่เจอ คงโดนยาวแน่”
“ก็จริงนะ หรือเมจะทิ้งมันไปเลย”
“ไม่นะ” เมธาวีปฏิเสธเสียงดัง จนพีรดนย์ตกใจ
“ขอโทษนะพี เมไม่ได้ตั้งใจตะคอก” เด็กสาวเอ่ยปาก สีหน้าสลด โดยที่พีรดนย์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเก็บปิ่นลงกล่องแล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้าของเมธาวี
“เมคงต้องเก็บไว้ก่อน แล้วเราค่อยหาวิธีว่าจะทำยังไงกันดี พีก็ไม่น่ารับมาให้เมเลย” เด็กหนุ่มพูดด้วยความรู้สึกผิด
“กลับกันเถอะ เย็นมากแล้ว พิพิธภัณฑ์น่าจะใกล้ปิดแล้ว” เมธาวีเก็บกล่องไม้ใส่ลงในกระเป๋าและชวนกลับเมื่อเห็นว่าผู้คนที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์เริ่มทยอยเดินออก
“เดี๋ยวเราแยกกันข้างหน้าเลยนะ วันนี้วันศุกร์พีต้องไปบ้านคุณยายใช่ไหม” เด็กสาวพูด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพีรดนย์ต้องไปค้างที่บ้านคุณยายทุกสุดสัปดาห์
“โอเค”
ทั้งคู่ลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินโรยกรวดเพื่อไปขึ้นรถโดยสารที่ด้านนอก หากเพียงแต่คนใดคนหนึ่งจะหันกลับมามองยังจุดที่นั่งคุยกันเมื่อสักครู่ก็จะได้เห็นเงาร่างของผู้ชายที่มาตามหายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มือไพล่หลังสายตาจับจ้องไปที่ร่างในชุดนักเรียนของทั้งคู่ที่กำลังเดินห่างออกไป
ระหว่างทางกลับบ้านบรรยากาศภายในรถไฟฟ้าเต็มไปด้วยความเงียบงันแม้จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เมธาวีนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง หากแต่ในสายตาของเด็กสาวนั้นไม่ได้มองเห็นภาพตึกรามบ้านช่องที่เคลื่อนผ่านไปแม้แต่น้อย ด้วยในใจนั้นจดจ่ออยู่กับชายลึกลับ ปิ่นปักผม และความฝันแปลกประหลาด
เมื่อกลับถึงบ้าน เมธาวีรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าทุกวัน วันนี้ศักดิ์ชายกับวิมาลาไปงานเลี้ยงรุ่นกันทั้งคู่ เด็กสาวจึงรู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องอธิบายกับบิดามารดาว่าทำไมจึงกลับบ้านช้ากว่าปกติ
เด็กสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ปล่อยความคิดล่องลอย จนกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว แล้วความฝันประหลาดก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ เมธาวีมองเห็นชายที่เธอฝันเห็นเมื่อคืนก่อน กำลังขุดหลุมโดยไม่ยอมให้คนอื่นที่นั่งเรียงรายกันอีกสามคนช่วยเหลือ จนหลุมนั้นได้ขนาดที่ต้องการเขาก็วางจอบลง และเดินไปอุ้มห่อผ้าขาวมาวางลงในหลุม เมธาวีนึกรู้ขึ้นในทันทีว่านั่นคือร่างของหญิงสาวที่เสียชีวิตในอ้อมแขนของชายผู้นั้น ชายหนุ่มค่อย ๆ โกยดินกลบร่าง ระหว่างที่ทำน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าคมเข้ม จนกองดินพูนสูงขึ้น ก็ทรุดตัวลงนอนตะแคงแล้วโอบกอดไปบนหลุมศพนั้น ราวกับกำลังโอบกอดคนรักที่นอนเคียงข้างกันไว้
ชายที่นอนอยู่ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่เพิ่งวิ่งเข้ามาก้มกราบแทบเท้า แล้วรายงานอะไรสักอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วหันไปคว้าดาบวิ่งผ่านประตูเมืองไปด้วยท่าทีเดือดดาล
เมธาวีวิ่งตามไปด้วยห่าง ๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดที่ความฝันนี้ราวกับว่าเธอกำลังดูภาพยนตร์ใบ้ ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยใด ๆ ทำให้เธอไม่สามารถรับรู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
เมื่อตามมาถึงภายในท้องพระโรง มีเหล่าขุนนางเข้าเฝ้าพระราชาที่เสด็จออกว่าราชการ ชายหนุ่มเดินตรงไปยังผู้ชายสูงวัยรูปร่างอ้วนท้วม แล้วยกนิ้วขึ้นชี้หน้าพูดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเงื้อดาบในมือขึ้นสูงฟาดฟันลงบนร่างนั้น โลหิตแดงฉานพวยพุ่ง
เด็กสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ แล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แต่ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอ ทุกอย่างดำเนินต่อไป
ยามนี้ผู้คนในท้องพระโรงต่างก็รีบหาทางหลบหนี หากแต่ชายผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจคนอื่นอีก เพียงแต่หันมามององค์ราชาที่ลุกขึ้นยืนโดยมีเหล่าองครักษ์ยืนขวางอยู่ด้านหน้า ในมือถือดาบพร้อมต่อสู้ ชายหนุ่มพูดอะไรบางอย่างออกมา สีหน้าแววตานั้นแสดงถึงความเจ็บช้ำผิดหวัง ก่อนจะออกเดินมุ่งหน้าไปยังเขตพระราชฐานฝ่ายใน โดยที่เมธาวีนั้นตามติดไปดูเหตุการณ์ไม่ห่าง
เหล่าหญิงนางในเมื่อชายหนุ่มถือดาบที่อาบด้วยโลหิตเดินเข้ามาต่างก็วิ่งหนีกระจัดกระจาย จะมีก็แต่หญิงสูงวัยที่นั่งนิ่งบนตั่ง อาภรณ์ที่นางสวมใส่อยู่นั้นบ่งบอกถึงสถานะพระราชินี เหล่าโขลนที่มีหน้าที่คุ้มกันองค์ราชินีคว้าดาบกระโจนใส่ผู้บุกรุกโดยมิเกรงกับความตาย ถูกชายหนุ่มสังหารเสียสิ้น ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้า หญิงชราที่มองเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งสองคนพูดจาตอบโต้ไปมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเงื้อดาบฟันไปที่ลำคอของนาง
ศีรษะของหญิงชรากระเด็นมาตกแทบเท้าของเมธาวี ทำให้เด็กสาวกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดแล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง
เธอสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เหงื่อไหลท่วมตัว หัวใจเต้นรัวแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ความฝันนั้นดูรุนแรงน่ากลัวกว่าคืนก่อนมาก
เมธาวีลุกขึ้นนั่งเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง พลางมองนาฬิกา เพิ่งจะตีสี่ครึ่ง เด็กสาวตัดสินใจทันทีว่าคงต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับบิดามารดาฟัง เธอคงไม่สามารถอดทนกับฝันร้ายนี้ได้อีก เมธาวีลุกขึ้นอาบน้ำแต่งกายลงไปนั่งรอเวลาบิดามารดาตื่นที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย เมธาวีก็เอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง วิมาลานั้นตกใจมาก ส่วนศักดิ์ชาย แม้จะไม่ได้เชื่อเรื่องสิ่งลึกลับอะไร แต่เพื่อความสบายใจของภรรยาและบุตรสาว เขาก็ยินดีที่จะพาทั้งคู่ไปทำบุญ ทั้งหมดซื้อของและจัดชุดถวายสังฆทานด้วยตัวเอง ไม่ได้ซื้อแบบสำเร็จรูป และขึ้นรถเดินทางไปยังวัดเล็ก ๆ ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
“กรรมเก่าที่ผูกพันมานะโยม” พระภิกษุุชรามีท่าที่สำรวมตลอดเวลาที่รับสังฆทานเอ่ยปากขึ้นหลังเสร็จพิธี
“อะไรนะเจ้าคะ หลวงปู่” วิมาลาถามเสียงสูง
“ไหนโยมเล่าให้อาตมาฟังสิว่าเจออะไรมาบ้าง” หลวงปู่หันไปพูดกับเมธาวี
เสียงทอดถอนใจดังขึ้นมาจากหลวงปู่ เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด
“เวรกรรมจริง ๆ อาตมาทำอะไรมากเกินไปกว่ากิจของสงฆ์ไม่ได้ เอาเป็นว่าปิ่นปักผมที่โยมได้รับมา เป็นสื่อที่ทำให้โยมฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”
“แล้วมีวิธีแก้ไขไหมคะ เมกลัวถ้าต้องฝันร้ายทุกคืน” เด็กสาวถาม
“ไม่มีวิธีแก้กรรมหรอก มีแต่การชดใช้กันไป ซึ่งก็อาจจะนำพาซึ่งกรรมผูกพันกันไม่จบไม่สิ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะยุติได้ นั่นคือการอโหสิกรรม ต้องอโหสิกรรมด้วยใจจริงนะ ไม่ใช่แค่ปากพูด เอาเป็นว่าเพื่อเป็นการบรรเทาโยมต้องหมั่นสวดมนต์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย แผ่เมตตาและขออโหสิกรรมต่อกัน เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง” หลวงปู่แนะนำ
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ทุกคนก้มกราบลาและเดินจากไป
พระภิกษุุชราหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งแอบอยู่ด้านข้างประตูนอกพระอุโบสถ ร่างนั้นก้มกราบสามครั้ง
“อาตมาช่วยได้เท่านี้นะโยม”
“กราบขอบพระคุณ พระคุณเจ้ามากขอรับ กระผมไม่ได้ห่วงตัวเองเพราะกรรมที่กระผมทำไว้นั้นนักหนายิ่งนัก หากแต่ผู้อื่นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลยกลับต้องทนทรมานมานานนับพันปีแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว
“ทุกสิ่งมีกรรมร่วมกันทั้งนั้น จะมากน้อยก็แล้วแต่บุคคล อาตมาขออุทิศกุศลผลบุญให้กับโยมและคนอื่น ๆ นะ รับกันไปเถิด”
“กระผมกราบลา” ใบหน้าที่หม่นหมองนั้นดูสดใสขึ้นเมื่อได้รับกุศลที่หลวงปู่อุทิศให้ ชายหนุ่มกราบลงที่พื้นอีกครั้งก่อนที่ร่างนั้นจะค่อย ๆ จางหายไ
