บทที่ 4
หลังจากวันที่เมธาวีกับครอบครัวไปทำบุญที่วัด และได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ เด็กสาวก็ปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการสวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้เมธาวีนอนหลับได้ตามปกติ ไม่ฝันร้ายอีก
ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณ เมธาวีทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งได้สำเร็จ เช่นเดียวกับพีรดนย์ที่หลังจากเจอกับชายปริศนาและเหตุการณ์ประหลาดก็ตัดสินใจ สอบเข้าเรียนต่อด้วยกันกับเมธาวี
ส่วนปิ่นปักผมรูปกริชนั้น มารดาของเมธาวีจัดการเอาไปเก็บไว้ในห้องพระ ด้วยเชื่อว่าพุทธคุณจะช่วยปกป้องคุ้มครองและปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้ผ่านพ้นไป
เวลาล่วงเลยผ่านไป เมธาวีใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนร่วมคณะที่ต่างก็สนใจในสิ่งเดียวกัน ทำให้เรื่องราวความฝันและปิ่นปักผมค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ จนกระทั่งถึงเวลาที่นักศึกษาทุกคนต้องออกภาคสนามเพื่อฝึกฝนและเรียนรู้การขุดค้นทางโบราณคดีในสถานที่จริง
“อย่างที่ครูแจ้งไว้ตั้งแต่เปิดภาคเรียน ว่าเราจะต้องไปขุดค้นโบราณสถาน ครั้งนี้เราโชคดีมากที่ทางภาควิชาได้รับมอบหมายให้ไปขุดค้นยังแหล่งโบราณคดีที่เพิ่งค้นพบเมื่อต้นปี ใครพอจะตอบครูได้บ้าง ว่าเป็นที่ไหน” อาจารย์สุพัฒน์ ผู้เป็นทั้งอาจารย์ประจำวิชา และอาจารย์ที่ปรึกษาของเมธาวีถามขึ้นในห้องเรียน
เสียงตอบกันเซ็งแซ่ จนอาจารย์ต้องโบกมือให้หยุดและชี้ไปที่พีรดนย์ที่นั่งบริเวณกลางห้อง
“พีรดนย์ตอบสิ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างที่ถูกเลือกก่อนจะตอบคำถามด้วยความมั่นใจ เพราะในปีนี้มีแหล่งโบราณคดีที่เพิ่งค้นพบใหม่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
“หมู่บ้านควนมะเดื่อ จังหวัด… ครับ”
“ถูกต้อง ตอนนี้เรามีชื่อเรียกแบบเป็นทางการแล้วนะ” อาจารย์หยิบปากกาไวท์บอร์ดขึ้นมาเขียนชื่อสถานที่ลงบนกระดาน
‘แหล่งโบราณคดีตะวันแก้ว’
ชื่อนี้ทำให้เมธาวีที่นั่งถัดจากพีรดนย์รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้น ก็ทำให้เด็กสาวสลัดความรู้สึกนั้นออกไป หันมาตั้งใจกับสิ่งที่อาจารย์พูด
“ เนื่องจากแหล่งขุดค้นที่เราจะไปคราวนี้ อยู่ไกลจากชุมชนพอสมควร ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักศึกษา ทางภาควิชาไม่อนุญาตให้นักศึกษาเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ต้องเดินทางไปกลับด้วยรถที่ภาควิชาจัดเตรียมเท่านั้น รายละเอียดการเตรียมตัวครูส่งให้ในกลุ่มไลน์เรียบร้อยแล้ว”
“อาจารย์คะ เราจะไปพร้อมกันหมดหรือสลับกันไปแบบรุ่นพี่ปีก่อน ๆ คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถามขึ้น
“คราวนี้เราไปพร้อมกัน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีครูกับครูอรุณีเป็นคนดูแล กลุ่มสองมีครูพจน์กับครูกฤษณ์เป็นคนดูแล ส่วนใครอยู่กลุ่มไหนก็เข้าไปดูในรายละเอียดที่ส่งให้ได้เลย เชิญครูพจน์อธิบายข้อมูลเบื้องต้นของแหล่งโบราณคดีครับ” อาจารย์สุพัฒน์อธิบายแล้วเชิญอาจารย์อีกท่านให้อธิบายต่อ
“อย่างที่รู้กันว่าที่แหล่งโบราณคดีตะวันแก้ว หมู่บ้านควนมะเดื่อเป็นแหล่งที่เพิ่งค้นพบ จากการที่ชาวบ้านขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแล้วเจอซากสิ่งปลูกสร้าง ซึ่ง ณ เวลานี้ เราเพิ่งขุดค้นไปได้ไม่มากนัก จึงยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะระบุถึงช่วงเวลาว่าอยู่ในยุคสมัยใด เพราะฉะนั้นการที่เราไปกันครั้งนี้จะเป็นการขุดค้นพื้นที่โดยรอบในลักษณะปูพรมเผื่อว่าจะเจอหลักฐานที่สามารถระบุได้ว่าที่นี่จะอยู่ร่วมสมัยกับอาณาจักรใด”
บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยความคึกคัก นักศึกษาต่างซักถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีที่จะได้ไปขุดค้นเป็นครั้งแรกด้วยความตื่นเต้น โดยมีอาจารย์ทั้งสี่ท่านผลัดเปลี่ยนกันตอบ
“เอาละ ครูขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางนะครับ ถ้าไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติมแล้วก็แยกย้ายกันได้เลย เชิญครับ” อาจารย์สุพัฒน์ยิ้มแย้มขณะกล่าวปิดท้ายด้วยความยินดีที่ลูกศิษย์ให้ความสนใจกันอย่างเต็มที่
ทันทีที่อาจารย์พูดจบ เสียงเก้าอี้ลากไปบนพื้นก็ดังขึ้นเป็นสัญญาแห่งการเลิกเรียน บางคนก็ก้มหน้าก้มตาเก็บอุปกรณ์การเรียน บางคนก็หันไปจับกลุ่มพูดคุยกัน ในขณะที่เมธาวีกลับนั่งเหม่อลอยจนพีรดนย์ต้องเรียกเสียงดัง
“เม! ใจลอยไปถึงไหนแล้ว”
“อะ อะไรนะ” หญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ก็เห็นเมนั่งเหม่ออยู่นานแล้ว จนพีเก็บของเสร็จแล้วเนี่ย”
“อ๋อ ขอโทษที เมคิดอะไรเพลินไปหน่อย กลับกันเถอะ” เมธาวีตอบ แล้วรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องเมื่อเห็นแม่บ้านถือไม้กวาดเขามาเตรียมทำความสะอาด
“พี”
“เม”
ระหว่างที่กำลังเดินไปสถานีรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน อยู่ ๆ ทั้งคู่ก็หันไปเรียกชื่อขึ้นพร้อมกัน ทำให้เมธาวีและพีรดนย์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“เมพูดก่อนเลย”
เมธาวีมองหน้าเพื่อนสนิท เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ ในขณะที่พีรดนย์ก็เอียงศีรษะเป็นเชิงบอกว่ากำลังรอฟัง
“เมรู้สึกแปลก ๆ กับที่เราต้องไปขุดค้นยังไงไม่รู้ ตั้งแต่เห็นชื่อที่อาจารย์เขียนบนกระดาน มันคุ้น ๆ บอกไม่ถูก”
สีหน้าของพีรดนย์ที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความประหลาดใจทำให้เมธาวีหยุดพูด
“พีก็เป็นเหมือนกันเลยเม ตอนที่พีตอบอาจารย์ว่าเราจะไปควนมะเดื่อก็เฉย ๆ นะ แต่พออาจารย์เขียนชื่อขึ้นมาก็สะดุดใจ มันคุ้นจัง”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยเพื่อค้นหาคำตอบให้กับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรู้สึกเช่นนี้ในเวลาเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ของพีรดนย์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วยิ้มกว้างรีบกดรับสายทันที
“สวัสดีครับคุณยาย พีเลิกเรียนแล้วครับ เดี๋ยวจะแวะซื้อข้าวหน้าเป็ดร้านโปรดของคุณยายไปฝากนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกลูก น้าเราเขามารับยายออกมากินข้าวแล้ว พีไปเจอกันที่ร้านนะลูกจะได้เข้าบ้านพร้อมกัน” คุณยายนัดแนะสถานที่กับพีรดนย์
“ตกลงครับ เดี๋ยวเจอกันครับ” พีรดนย์วางสายแล้วจึงหันมาบอกลาเมธาวี โดยที่ทั้งคู่ต่างก็ลืมเรื่องที่คุยค้างไว้ไปแล้ว และแยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อถึงวันเดินทาง เมธาวีกับพีรดนย์นั่งอยู่บนรถบัสที่มหาวิทยาลัยจัดให้พร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนจากความแน่นหนาของแหล่งชุมชนเป็นทุ่งนา บึงน้ำ และป่าไม้ หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรถบัสเคลื่อนเข้าใกล้จุดหมายปลายทาง เมธาวีเผลอตัวจับมือพีรดนย์แน่นจนชายหนุ่มหันมาถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า เมบีบมือพีแรงมากเลย”
“ไม่รู้สิ มันเหมือน…”
“เอ้า นักศึกษาทุกคน เรามาถึงกันแล้ว ใครที่ยังหลับก็ปลุกด้วย แล้วตามครูลงไปที่ศาลานั่นเลยนะ” เสียงอาจารย์สุพัฒน์ดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่เลิกคุย ลุกขึ้นทยอยเดินลงจากรถไปรวมตัวกันยังจุดที่นัดหมาย
ภายในศาลานั้นมีความกว้างพอให้นักศึกษาทุกคนนั่งลงบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อรอฟังคำบรรยายจากอาจารย์ เมธาวีและพีรดนย์มองไปรอบ ๆ บริเวณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นพื้นที่กว้าง เต็มไปด้วยเนินดินมีร่องรอยการขุดค้นไปบ้างแล้ว ซากอิฐเก่าแก่กระจัดกระจายไปทั่ว ความรู้สึกคุ้นเคยทวีความรุนแรงขึ้นในใจของคนทั้งสอง หากแต่เมธาวีนั้นมีความชิงชังเคียดแค้นแฝงอยู่ ในขณะที่พีรดนย์รู้สึกวูบโหวงไปหมด นัยน์ตาของชายหนุ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกันโดยไม่รู้เลย พยายามปัดความรู้สึกทิ้ง กลับไปจดจ่อกับการบรรยายเกี่ยวกับการขุดค้นจากนักโบราณคดีที่รับผิดชอบในการขุดค้นเริ่มต้นขึ้น
ในการเดินสำรวจพื้นที่ช่วงบ่าย อาจารย์อนุญาตให้นักศึกษาแยกย้ายกันเดินสำรวจอย่างอิสระ เพื่อเลือกพื้นที่ที่จะทำการขุดค้นได้ตามใจชอบ เมธาวีเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเพื่อน มุ่งหน้าไปยังเนินดินที่มีต้นไม้ใหญ่ที่ยังไม่มีร่องรอยการขุดค้น ความรู้สึกในใจกระซิบว่าบางอย่างกำลังรอคอยอยู่ใต้ผืนดินแห่งนี้
ทางด้านพีรดนย์นั้นเดินไปยังจุดที่มีการเปิดหน้าดินเพื่อขุดค้นไปแล้วบางส่วน แต่ถูกทิ้งไว้ไม่ได้สำรวจต่อ เห็นได้จากต้นหญ้าสีเขียวสดที่เพิ่งขึ้นใหม่เป็นหย่อม ๆ มือขาวที่วางลงบนพื้นนั้นสั่นเทา แล้วน้ำตาก็หยดลงสู่พื้นซึมหายไปในดิน
เสียงตะโกนเรียกรวมตัวทำให้พีรดนย์ได้สติ รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาเดินไปสมทบกับเมธาวีที่เพิ่งเดินมาเช่นกัน ทุกคนแจ้งกับอาจารย์ว่าจะทำการขุดค้นบริเวณใดบ้าง เมื่อได้รับอนุญาตก็ไปจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการขุดค้นที่จะเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะขึ้นรถเดินทางเข้าที่พัก รับประทานอาหารเย็นและแยกย้ายกันไปพักผ่อ
