
บทย่อ
ฟ้าดินเป็นพยาน หากข้ามิได้กระทำผิดตามที่ถูกตัดสินโทษ ขอให้เลือดทุกหยาดหยดของข้าที่ตกต้องแผ่นดิน นำพาความพินาศมาสู่อาณาจักรแห่งนี้ภายในสามวันเจ็ดวัน อย่าให้มีผู้ใดรอดชีวิตไปจากที่นี้แม้แต่คนเดียว
บทนำ
สุริยันแดงฉานในเพลาบ่ายคล้อยสาดแสงสว่างลงมายังลานดินกว้างที่มีเสาไม้ขนาดใหญ่ปักลงบนพื้นดิน ด้านข้างเสามีโซ่ตรวนเหล็กเส้นใหญ่สำหรับมัดตรึงร่าง โดยรอบมีกองฟืนที่ประกอบไปด้วยท่อนไม้ใหญ่และกิ่งไม้เล็ก ๆ วางซ้อนกัน กลิ่นไม้แห้งและน้ำมันสนคละคลุ้งไปทั่วทั้งลาน
ด้านหนึ่งของลานตั้งปะรำพิธีมีบัลลังก์สำหรับราชาและราชินีของแคว้น ผู้คนมากมายทยอยเข้ามาดูการประหารชีวิตพระชายาองค์รัชทายาทของแคว้นมณีปุระนคร
“พระเจ้าสุริยาเทวราชและพระนางเจ้าจันทราวดีเสด็จ”
ผู้คนก้มลงหมอบกราบเมื่อผู้ครองแคว้นเสด็จออกนั่งบนบัลลังก์
“เบิกตัวนักโทษ”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารในชุดดำขลับหนึ่งคนลากร่างไร้วิญญาณของบุรุษมาทิ้งลงบนพื้นดินดั่งเศษขยะ ด้านหลังมีทหารอีกสองคนพาตัวสตรีผู้หนึ่งออกมาในอากัปกิริยาจับแขนทั้งสองข้างฉุดกระชากออกมาจากที่คุมขัง สตรีนางนั้นมีรูปร่างโปร่งบาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีชมพูอ่อนขลิบขาวตัดเย็บจากผ้าไหมทอลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยงดงามที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวที่นางสวมคือปิ่นปักผมสีเงินประดับทับทิมรูปร่างคล้ายกริชเสียบไว้กับเส้นผมดำขลับที่เกล้ามวยสูง
“พระบิดาได้โปรดเถิด ข้าถูกใส่ร้าย ข้ามิได้คบชู้สู่ชายดังคำกล่าวหา” สตรีผู้นั้นร่ำร้องตะโกน พลางดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุม
“เหอะ พยานรู้เห็นมากมายว่าเจ้าอยู่กับผู้ชายบนเตียง ในขณะที่ลูกข้าออกไปเสี่ยงชีวิตสู้ศึกสงคราม แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาร่ำร้องไปไย” พระนางเจ้า กล่าววาจาหยามหยัน
“ท่านใส่ร้ายข้า เป็นท่านที่วางแผนชั่วร้ายนี้ เพื่อกำจัดข้า”
หญิงสาวร่ำไห้มองผู้เป็นมารดาของสวามี ด้วยความเจ็บปวดที่หลงเชื่อว่าความรู้สึกชิงชังของพระนางคลายลงเมื่อทราบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ไม่คิดเลยว่าการทำดีทั้งหมดคือการหลอกลวง หลงลืมกระทั่งคำเตือนที่มารดาของเธอได้กล่าวไว้ในวันอภิเษกของเธอกับองค์รัชทายาท บัดนี้คำเตือนนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาท
“อัญญาวี จำคำของแม่ไว้ให้ดี เจ้าอย่าได้ไว้ใจผู้ใดในพระราชฐานชั้นในเป็นอันขาด โดยเฉพาะพระนางเจ้า”
“เหตุใดท่านแม่จึงกล่าวเช่นนั้น”
มือบอบบางยกขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวเบา ๆ พลางถอนใจ นางไม่อยากให้อัญญาวีอภิเษกกับองค์รัชทายาท หากแต่ขัดพระประสงค์ขององค์ราชามิได้ หากสวามีของนางยังมีชีวิตอยู่ การอภิเษกคราวนี้มิมีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เพราะพระนางเคยเป็นคู่หมายของบิดาเจ้ามาก่อนแม่ บิดาเจ้าไปออกศึกชนะ กลับมาขอพระราชทานสมรสกับแม่จากเสด็จปู่ของเจ้า แทนที่จะเป็นนาง ทำให้นางอับอายอย่างมาก ถึงขนาดส่งผ้าซับพระพักตร์ที่เปื้อนโลหิตมาเป็นของขวัญในวันอภิเษก”
“แล้วลูกควรทำเช่นไร” อัญญาวีถามด้วยความหวั่นเกรง
“มองรอบด้านไว้เสมอ ระวังตัวทุกย่างก้าว โดยเฉพาะยามที่สวามีของเจ้าไม่อยู่ในเมือง ยิ่งต้องระวังมากขึ้นเป็นสองเท่า หลังจากวันนี้แม่ไม่อาจอยู่ปกป้องเจ้าได้อีก“
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความแปลกใจ
“มีพระบรมราชโองการให้แม่ไปกับขบวนอภิเษกขององค์หญิงนันทาวดีที่จะออกเดินทางยามรุ่งพรุ่งนี้”
ขบวนอภิเษกขององค์หญิงจะต้องมีพระญาติฝ่ายหญิงเดินทางไปด้วย ซึ่งพระญาติฝ่ายหญิงที่ใกล้ชิดที่สุดนอกเหนือจากพระราชินีที่เป็นพระมารดาแล้วก็คือนางซึ่งเป็นอาสะใภ้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของนางโดยปริยาย
“ไปแล้วก็กลับ ใช่ว่าต้องไปอยู่ด้วยตลอด” อัญญาวีกล่าวแย้ง
”หนทางแสนไกล ต้องเดินทางแรมเดือน ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ ราวกับเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาพบหน้าบุตรสาวอีก
เสียงโห่ร้องที่ดังสนั่นดึงอัญญาวีกลับยังปัจจุบัน ทุกคนหันไปมองยังประตูเมืองที่กำลังเปิดออก ร่างชายหนุ่มบนหลังม้าที่วิ่งผ่านเข้ามาปรากฏขึ้นต่อหน้าทำให้หญิงสาวดีใจอย่างมาก ในที่สุดสวามีก็กลับมา
“ปล่อยพระชายาของเราเดี๋ยวนี้” อาทิตยรัตน์ตะโกนก้อง เมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นที่รักถูกจับกุม เร่งรีบลงจากหลังม้าตรงเข้ามาประคองร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจะประหารเมียของลูก ประหารหลานของตัวเองอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มร้องถามเมื่อเห็นหลักประหารบนกองฟืน
“เมียเจ้าคบชู้สู่ชาย ถึงขนาดพามาหลับนอนกันในตำหนัก มิแน่ว่า บุตรในอุทรนั้นก็อาจจะเป็นสายเลือดชายชู้ โทษทัณฑ์ของนางคือประหารด้วยการเผาทั้งเป็น” สุริยาเทวราชเอ่ยตอบบุตรชาย
“นั่นปะไรชายชู้ของนาง” องค์ราชินีชี้นิ้วไปยัง ร่างที่นอนอยู่บนพื้น เต็มไปด้วยรอยแผลมีเลือดไหลอาบไปทั่ว
อาทิตยรัตน์หันไปมอง แล้วพยักหน้าให้กับวัชรวี ขุนทหารมือขวาเข้าไปพลิกร่างนั้นขึ้นมาดูหน้า แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ผู้ที่นอนอยู่คือนครินทร์ผู้เป็นข้ารับใช้ที่เขาฝากฝังให้ดูแลอัญญาวียามเขาออกศึก
“เป็นไปไม่ได้” ชายหนุ่มพึมพำ
“ไม่จริงนะท่านพี่ ข้ามิได้คบชู้กับนครินทร์ ข้าถูกพระมารดาใส่ร้าย” อัญญาวีละล่ำละลักบอก
“เจ้าเอาอะไรมาพูด ท่านแม่จะใส่ร้ายเจ้าด้วยเหตุใดกัน”
“ท่านแคลงใจ” หญิงสาวมองหน้าสวามีคิ้วเรียวขมวดมุ่น
“ข้าเชื่อว่าเจ้ามิได้คบชู้ แต่ไม่เห็นเหตุผลใดที่พระมารดาจะกระทำการอย่างที่เจ้าว่า” น้ำเสียงที่พูดนั้นเจือด้วยความคลางแคลงใจ
“ท่านหาได้คิดอย่างที่พูดกับข้าไม่ ท่านแคลงใจในตัวข้า” อัญญาวีจ้องมองด้วยสายตาผิดหวัง น้ำตาไหลลงอาบใบหน้างาม
“อาทิตยรัตน์ ความผิดของนางเป็นที่ประจักษ์ ข้าและบิดาของเจ้า นางอยู่บนเตียงกับชายชู้ด้วยตัวเอง ยังมีเหล่านางกำนัลอีกหลายรายที่เป็นพยาน แล้วอย่างนี้จะว่าข้าใส่ร้ายนางได้อย่างใด”
ชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น นั่นทำให้อัญญาวีตระหนักได้ว่านางพ่ายแพ้ให้กับความอยุติธรรมแล้ว มือเรียวสั่นเทายกขึ้นลูบใบหน้าชายผู้เป็นที่รัก
“มิเป็นไร ในเมื่อท่านแคลงใจในตัวข้า ก็หาประโยชน์อันใดที่ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างอัปยศอดสู ท่านจำสิ่งนี้ได้หรือไม่ ปิ่นปักผมนี้ที่ท่านทำด้วยมือและมอบให้เป็นของขวัญในวันอภิเษกของเรา วันนี้จะเป็นอาวุธที่ท่านใช้ประหัตประหารชีวิตของข้าด้วยมือของท่านเองเช่นกัน”
อัญญาวีปลดปิ่นปักผมรูปกริชนั้นจับใส่มืออาทิตยรัตน์ นางกำมือเขาไว้และแทงลงตรงหัวใจอย่างแรง
“ไม่นะ” ชายหนุ่มตะโกนก้องพยายามยั้งมือ หากแต่ไม่ทันเสียแล้ว ปิ่นนั้นปักลึกลงในเนื้อโลหิตหลั่งรินจากบาดแผลเปรอะเปื้อนมือของทั้งคู่ ร่างงามทรุดลงกองกับพื้น
“ฟ้าดินเป็นพยาน หากข้ามิได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาและตัดสินโทษ ขอให้เลือดทุกหยาดหยดของข้าที่ตกต้องแผ่นดิน นำพาความพินาศมาสู่อาณาจักรแห่งนี้ภายในสามวันเจ็ดวัน อย่าให้มีผู้ใดรอดชีวิตไปจากที่นี้แม้แต่คนเดียว”
หญิงสาวกัดฟันเอ่ยคำสาปแช่งออกมาด้วยความแค้น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดลงไปตลอดกาล
