บทที่ 1
เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเด็กนักเรียนในชุดมัธยมปลายกลุ่มใหญ่ดังไปทั่วโถงทางเดินของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทำให้อาจารย์เหลือบมองภัณฑารักษ์ที่เป็นวิทยากรด้วยความเกรงใจ แล้วหันไปทำเสียงจุ๊ จุ๊ กับเด็กนักเรียนเป็นสัญญาณให้เบาเสียงลง คราวนี้ทุกคนหยุดการพูดคุยและเดินไปตามทางที่อาบไล้ด้วยแสงแดดยามสายส่องลอดมาทางหน้าต่างกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่เรียงรายยาวไปตลอดทาง จนถึงห้องจัดแสดงเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณ ภัณฑารักษ์และอาจารย์เดินไปหยุดรอที่หน้าโทรทัศน์จอใหญ่ เมื่อนักเรียนทยอยเข้ามาในห้องกันครบทุกคน การบรรยายก็เริ่มขึ้น
“วันนี้เรามาทัศนศึกษากันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยมีจุดประสงค์หลักคือหัวข้อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในภาคการศึกษานี้จะเน้นในเรื่องของอาณาจักรโบราณในพื้นที่อาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน เพราะฉะนั้นหลังจากกลับโรงเรียน ให้ทุกคนจับคู่กันแล้วทำรายงาน เรื่อง ประวัติ ตำนาน อาณาจักรโบราณในประเทศ ซึ่งจะเลือกอาณาจักรไหนก็ได้ ที่บรรยายในวันนี้”
ทันทีที่อาจารย์นิภา ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์พูดจบก็มีเสียงอื้ออึงขึ้นโดยรอบ เด็ก ๆ หันไปหาเพื่อนเพื่อรีบจับคู่กับคนที่ตัวเองอยากทำงานด้วย
“หยุด หยุด หยุด ไว้ค่อยไปจับคู่กันทีหลัง สายมากแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เชิญคุณนารีค่ะ” นิภาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนจะกล่าวเชิญวิทยากรขึ้นบรรยาย
“สวัสดีค่ะทุกคน ดิฉัน นารี กรชัยกุล เป็นภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ และเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องอาณาจักรโบราณในวันนี้ค่ะ น้อง ๆ เรียกพี่รีก็ได้นะคะ” หญิงสาวอายุราวสามสิบปี แนะนำตัว สายตามองไปโดยรอบแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“พี่จะใช้เวลาบรรยายประมาณสี่สิบห้านาที และให้เวลาน้อง ๆ สอบถามอีกสิบห้านาที จากนั้นทุกคนจะได้เดินชมพิพิธภัณฑ์โดยรอบตามความสนใจนะคะ”
การบรรยายเริ่มขึ้น โดยที่เด็กทุกคนก็ต่างก็ตั้งใจฟังและจดข้อมูลเพื่อเตรียมทำรายงานส่งกันอย่างขะมักเขม้น จนเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบพระคุณพี่รีมากค่ะสำหรับความรู้ที่บรรยายให้พวกเราในวันนี้ ทำให้การเรียนประวัติศาสตร์ไม่น่าเบื่อเลย ขอเชิญอาจารย์มอบของที่ระลึกค่ะ” เมธาวี เด็กสาวผมยาวดำขลับ หยักศกเป็นลอนใหญ่ราวกับถูกดัดและจัดทรงโดยช่างทำผมมือหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีดำดั่งนิล ริมฝีปากบาง รับหน้าที่เป็นตัวแทนนักเรียนขึ้นกล่าวขอบคุณและเชิญอาจารย์มอบของที่ระลึก
“เอาล่ะ เดี๋ยวทุกคนพักรับประทานอาหารกลางวันได้ แล้วแยกย้ายกันชมพิพิธภัณฑ์ได้เลย บ่ายสามโมงตรงไปรวมตัวกันหน้าร้านขายของที่ระลึกด้านหน้าพิพิธภัณฑ์นะ” นิภาแจ้งกำหนดการและนัดหมายเวลากับนักเรียน ก่อนที่ทุกคนจะไปพักกลางวัน
บรรยากาศโรงอาหารช่วงพักกลางวัค่อนนนั้นคึกคักไปด้วยเจ้าหน้าที่ และผู้คนที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ ทำให้หลายโต๊ะถูกจับจองไปแล้ว เมื่อกลุ่มเด็กนักเรียนเข้ามาจึงต้องแยกย้ายกันนั่งตามแต่ว่าจะมีที่ว่างตรงจุดใด เมธาวีมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นโต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุดว่างอยู่ จึงเดินไปวางกระเป๋าเพื่อจับจองที่นั่งไว้แล้วจึงไปซื้ออาหาร
“เมได้ที่นั่งหรือยัง” เด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างบอบบางราวกับสตรีเข้ามาถาม
“ได้แล้ว ตรงโน้นไปนั่งด้วยกันสิ” เมธาวีชี้ไปยังโต๊ะที่วางกระเป๋าไว้ แล้วเอ่ยปากชวน โดยปกติเด็กสาวชอบที่จะทำอะไรคนเดียว เพราะมีความรู้สึกไม่ไว้ใจผู้อื่นเป็นพื้นฐาน โดยที่เธอก็ตอบไม่ได้ว่าเพราะสาเหตุอะไร จะมีก็แต่พีรดนย์คนนี้ที่เธอยอมพูดคุยหรือทำงานกลุ่มร่วมกันบ่อย ๆ จนเพื่อน ๆ คิดว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน
“พีทำรายงานคู่เมนะ หรือว่าตกลงจับคู่กับคนอื่นไปแล้ว” เด็กสาวพูดขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร
“ได้สิ พีคิดไว้แล้วนะว่าจะเลือกอาณาจักรทวารวดี เมเห็นด้วยมั้ย หรือจะเลือกที่อื่น”
“ทวารวดีเหรอ น่าจะเลือกกันหลายคน เมว่าเราเลือกอาณาจักรหรือแคว้นเล็ก ๆ มั้ย ข้อมูลอาจจะหายากสักหน่อย แต่รายงานน่าจะออกมาแตกต่างกับคนอื่น” เมธาวีออกความเห็น
“ก็ดีนะ งั้นกินข้าวเสร็จเราไปดูพวกโบราณวัตถุ ก่อนมั้ยแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเลือกที่ไหน”
“โอเคเลย”
แสงตะวันยามบ่ายคล้อยที่สาดแสงลงมากระทบเครื่องประดับทองคำโบราณลวดลายวิจิตรที่จัดแสดงโชว์ส่องประกายดึงดูดความสนใจของกลุ่มนักเรียนหญิง ในขณะที่นักเรียนชายให้ความสนใจกับศาสตราวุธโบราณ แต่ในกลุ่มนั้นกลับมีเมธาวีอยู่ด้วย เด็กสาวยืนมองกริชหลากหลายรูปแบบที่จัดวางเรียงรายอยู่ในตู้หลายสิบเล่ม สายตานั้นเปล่งประกายด้วยความชื่นชอบหากแต่แฝงด้วยความเศร้า แล้วมือเรียวก็ยกขึ้นมากดหน้าอกบริเวณหัวใจ เมื่อจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ตรงนั้น ใบหน้ารูปไข่ซีดเผือด สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรก
“เม! เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว จะเป็นลมเหรอ” พีรดนย์ที่เพิ่งเดินมาจากตู้จัดแสดงดาบ ปรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นอาการผิดปกติของเพื่อน
“ไม่รู้สิ มันอึดอัดบอกไม่ถูก”
“ออกไปรออาจารย์ที่ร้านขายของเลยมั้ย อีกสิบนาทีก็ได้เวลานัดแล้ว”
“ไปสิ” ร่างเล็กในชุดนักเรียนรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ดื่มน้ำหน่อยจะได้สดชื่น” มือขาวส่งขวดน้ำเย็นเฉียบที่เพิ่งซื้อให้
“ขอบใจนะ” เมธาวีรับมาดื่ม แล้วมองไปยังโปสเตอร์รูปกำแพงเมืองโบราณที่แขวนภายในร้านขายของที่ระลึกด้วยความสนใจ
‘เวียงกุมกาม’ เด็กสาวพึมพำอ่านชื่อสถานที่บนรูปโปสเตอร์
“เวียงกุมกามไงพี” เมธาวีพูดเสียงดัง
“อะไรนะ” พีรดนย์ถามอย่างงุนงง เมื่ออยู่ ๆ เมธาวีก็พูดขึ้นมา
“อาณาจักรโบราณที่พวกเราจะทำรายงานไง ไป เข้าไปดูในร้านกันเถอะ เผื่อจะมีรูปภาพหรืออะไรให้เราเอาไปใช้ได้บ้าง”
“ยินดีต้อนรับครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับ” เสียงนุ่มทุ้มของผู้ชายที่กล่าวทักทายนั้นทำให้คนทั้งคู่ที่เดินผ่านประตูเข้ามาในร้านหันไปมอง ภาพชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมตัดสั้นรองทรง ดวงตามีความดุดัน แต่ริมฝีปากหยักหนากลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี
เมื่อได้เห็นหน้าผู้ทักทายชัด ๆ ก็ทำให้ทั้งสองคนชะงัก ต่างก็รู้สึกคุ้นเคยกับหนุ่มใหญ่ตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก พีรดนย์นั้นรู้สึกยินดีราวกับได้พบเพื่อนสนิทที่จากกันไปนาน ส่วนเมธาวีกลับรู้สึกชิงชังมากกว่ายินดี ใบหน้างามเรียบเฉย
“พีคุยกับเขาไปนะ เมขอตัวไปดูของที่มุมโน้นหน่อย” เด็กสาวรีบปลีกตัวเดินห่างออกไปชมสินค้าอีกมุมหนึ่งของร้าน ปล่อยให้พีรดนย์พูดคุยสอบถามถึงสิ่งที่กำลังมองหาไปคนเดียว โดยมีสายตาคมมองตามไปอย่างอาวรณ์
“ผมกับเพื่อนกำลังหาข้อมูลของอาณาจักรเวียงกุมกามไปทำรายงานครับ”
“รอตรงนี้สักครู่นะครับ เดี๋ยวผมหยิบให้” ชายหนุ่มจากไปและกลับมาภายในเวลาไม่นานนัก
“นี่ครับหนังสือและรูปภาพเกี่ยวกับการขุดค้นที่เวียงกุมกาม” มือใหญ่ส่งให้
“เมมาดูสิว่าใช้ได้ไหม”
เมธาวีเดินกลับมาดูอย่างเสียไม่ได้ เด็กสาวรับหนังสือที่พีรดนย์ส่งต่อมา บนปกนั้นเขียนว่า ‘เวียงกุมกาม นครต้องสาป’ ก่อนจะเปิดดูภายในคร่าว ๆ
“น่าจะได้นะพี เอาเล่มนี้แหละ” เมธาวีส่งหนังสือให้ชายคนขายเพื่อคิดเงิน
“ทำไมถึงสนใจทำเรื่องเวียงกุมกามเหรอครับ” ชายหนุ่มชวนคุย สายตาจับจ้องที่เด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน
เด็กสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มพูดด้วย แม้ในใจไม่อยากจะเสวนากับชายคนนี้ แต่ก็จำใจต้องตอบตามมารยาท
“ก็น่าสนใจดีน่ะค่ะ เป็นเมืองที่ถูกฝังใต้ดิน รายงานที่ทำน่าจะแตกต่างจากเพื่อน ๆ”
“เขาว่ากันว่า เมืองโบราณใต้ดินแทบทุกที่จะเป็นเมืองที่ถูกสาปแช่ง”
คำพูดนี้ของคนขาย เรียกความสนใจจากเด็กทั้งสองได้เป็นอย่างดี ข้อมูลนี้น่าจะใส่เข้าไปในรายงานได้
“หมายความว่ายังไงครับ ที่บอกว่าเมืองโบราณใต้ดินแทบทุกที่ เวียงกุมกามไม่ใช่เมืองเดียวเหรอครับ”
“มีหลายเมืองครับ อย่างเช่น ศรีเทพ บ้านหว้าน มณีปุระนคร” ชื่อสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับเจ้าตัวไม่อย่างพูดถึง
“มณีปุระนคร”
ดวงตาทั้งสองคู่ลุกวาบ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับชื่อนี้อย่างน่าประหลาด
“แต่ก็นั่นแหละครับ เป็นเพียงแค่เขาว่ากัน เรื่องจริงเราไม่อาจรู้ได้หรอกครับว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะแค่น้ำหลากหรือแผ่นดินไหวก็ได้ครับ นี่ครับหนังสือ ทั้งหมด 165 บาท ครับ” คนขายตัดบทพร้อมกับยื่นหนังสือและแจ้งจำนวนเงิน
“เดี๋ยวพีจ่ายก่อน แล้วเสร็จงานเราค่อยมาเคลียร์เงินกัน” เด็กหนุ่มรับถุงหนังสือและจ่ายเงิน
‘เคร้ง’
เสียงวัตถุบางอย่างหล่นกระทบพื้นใกล้เท้าของเมธาวี เด็กสาวก้มลงหยิบขึ้นมาดูด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นเป็นกริชเล่มเล็ก ทำจากโลหะสีเข้มคล้ายเงินรมดำ ด้ามกริชสลักลวดลายเถาวัลย์พันเกี่ยวกันอย่างอ่อนช้อย ดูแล้วน่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น มากกว่าใช้เป็นอาวุธ
‘ปิ่นปักผม’
คำนี้ผุดขึ้นในใจพร้อมความรู้สึกอุ่นวาบในมือ และเจ็บลึกในใจ ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตาเอ่อซึมราวกับว่าได้ของรักที่สูญหายไปกลับคืนโดยไม่คาดฝัน
“อะไรน่ะเม สวยจัง”
“ปิ่นปักผมครับ จำลองแบบมาจากเครื่องประดับของเจ้านายสตรีชั้นสูง” คำตอบมาจากคนขาย
“เท่าไหร่คะ” เมธาวีถามราคา
“สำหรับคุณแล้วปิ่นปักผมนี้ไม่มีราคาครับ” ปากหนาคลี่ยิ้มอ่อน
“อ้าว! ไม่ได้ขายเหรอคะ”
“ปิ่นนี้เป็นของคุณ แล้วผมจะคิดราคาได้อย่างไร” ชายหนุ่มดึงปิ่นออกจากมือเมธาวีแล้วใส่ในกล่องไม้แกะสลักลวดลายเช่นเดียวกับบนปิ่น ก่อนจะส่งให้
“ขอบคุณนะคะ แต่เมคงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ไปกันเถอะพี ได้เวลากลับแล้ว” เด็กสาวปฏิเสธแล้วหมุนตัวเปิดประตูออกจากร้านทันที
พีรดนย์มองสีหน้าที่แสดงออกถึงความเสียใจอย่างชัดเจนของคนขาย ก็เลยตัดสินใจรับกล่องใส่ปิ่นมาแทน เขายื่นธนบัตรหนึ่งร้อยบาทให้
“ผมมีเงินสดอยู่หนึ่งร้อยบาท พอจะซื้อได้ไหมครับ เพื่อนผมเขาอยากได้แต่ก็เกรงใจน่ะครับ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมขอฝากคุณนำไปให้เธอก็แล้วกัน รีบไปเถอะครับ หมดเวลาแล้ว ยินดีที่ได้พบกันอีกนะครับ”
“อยู่นี่เอง ครูตามหาอยู่ตั้งนานว่าหายไปไหน ขึ้นรถเร็ว เลยเวลากลับนานแล้วนะ” อาจารย์นิภาเรียกเชิงตำหนิ
เด็กหนุ่มสะดุ้ง รู้สึกงุนงงว่าตัวเองออกมานอกร้านได้อย่างไร เขาจำได้ว่ากำลังจะถามกับคนขายทำไมถึงบอกกับเขาว่ายินดีที่ได้พบกัน เมื่อตั้งสติได้ก็ก้าวขาขึ้นรถ มองเห็นเมธาวีนั่งอยู่เบาะหน้า จึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังเบาะข้างกัน แล้วยื่นกล่องไม้ให้เด็กสาว
“ของเม”
“พีซื้อมาเหรอ ขอบใจมากเลยนะ เท่าไหร่เหรอเดี๋ยวเมโอนเงินคืนให้” เมธาวียิ้มด้วยความยินดี
“เปล่า พีจะซื้อแต่เขาไม่ยอม บอกแต่ว่าฝากมาให้เม แล้วยังไงไม่รู้พีก็มายืนข้างรถจนอาจารย์เรียกนี่แหละ เมรับไว้ก่อนเถอะ ไว้วันหลังเราค่อยเอามาคืนเขาก็ได้“
“อือ” เมธาวีพยักหน้ารับ พลางใส่กล่องไม้ลงในกระเป๋า โดยพยายามไม่สนใจกับปิ่นอีก ทั้งที่ในใจอยากจะหยิบขึ้นมาเชยชมยิ่งนัก
