บทที่ 2
เมื่อรถแท็กซี่จอดสนิทที่หน้าบ้านสองชั้นสีขาวขนาดกะทัดรัด ด้านหน้าบ้านมีสนามหญ้าเล็ก ๆ มองดูสบายตา เมธาวีก็ลงจากรถแล้วหันไปโบกมือให้กับพีรดนย์ที่นั่งรถมาด้วยกัน แล้วเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“กลับมาแล้วค่ะ” เด็กสาวรายงานตัว เมื่อเดินเข้าบ้านมาเห็นบิดานั่งดูโทรทัศน์อยู่ ส่วนมารดานั้นกำลังเดินออกมาจากห้องครัว ในมือถือจานแก้วใส่ขนมออกมาด้วย วิมาลาส่งยิ้มให้ลูกสาว ก่อนจะก้มตัวลงวางจานขนม ไว้ข้าง ๆ เหยือกแก้วทรงสูงบรรจุน้ำส้ม แล้วจึงหยิบแก้วมารินน้ำส้มส่งให้
“มาดื่มน้ำ กินขนมสักหน่อยมั้ยลูก ดูท่าจะร้อนล่ะสิ แก้มแดงเชียว”
“ขอบคุณค่ะแม่ ชื่นใจที่สุดเลย” เด็กสาวยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วหยิบขนมมาทานไปด้วย
“ไปทัศนศึกษามาสนุกไหม?”
“สนุกค่ะ ได้เห็นของโบราณสวย ๆ เยอะเลย เมงี้เดินดูจนเมื่อยขาไปหมดเลยค่ะพ่อ” เมธาวีตอบคำถามบิดา
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้สบายตัว เอนหลังสักหน่อยก็ได้นะ แล้วค่อยลงมาทานข้าวเย็นกัน เดี๋ยววันนี้พ่อช่วยแม่จัดโต๊ะอาหารเอง”
“ค่ะพ่อ เมขอตัวก่อนนะคะ” เด็กสาวรับคำ เธอเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนตัวเอง อาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคล แล้วหยิบเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกางเกงยีนส์ขาสั้นมาสวม
ขณะที่เมธาวีกำลังหวีผมอยู่หน้ากระจกนั้น เด็กสาวก็ระลึกถึงปิ่นปักผมรูปกริชขึ้นมาได้ จึงลุกไปหยิบกล่องไม้จากกระเป๋าออกมาเปิดดู นิ้วเรียวลูบไปบนปิ่นส่วนที่เป็นด้ามกริช แล้วความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเหมือนที่รู้สึกตอนอยู่พิพิธภัณฑ์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมธาวีรีบวางปิ่นลงแล้วปิดกล่องใส่ลงในกระเป๋าเหมือนเดิม ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะชวนพีรดนย์ไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน เพื่อคืนปิ่นให้กับชายคนขายที่ร้าน แล้วจึงหยิบหนังสือที่ซื้อมาไปนั่งอ่านบนเตียงโดยเอนหลังพิงหมอนหนุนใบใหญ่
“กินข้าวได้แล้วลูก” เสียงมารดาดังขึ้นที่ประตู
“ค่ะแม่ เดี๋ยวเมตามลงไปค่ะ“ เมธาวีลุกขึ้น วางหนังสือที่โต๊ะหัวเตียง บิดกายไปมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับบิดามารดา
บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่างวางเต็มโต๊ะ ทั้งแกงเขียวหวานไก่ ผัดผักรวมใส่เต้าหู้ ปลาทูทอด น้ำพริกกะปิพร้อมผักเคียง กลิ่นหอมของอาหารทำให้เด็กสาวรู้สึกหิวขึ้นมาทันที จึงรีบเดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ด้านซ้ายของบิดา
“น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะแม่”
“งั้นก็กินเยอะ ๆ เลยนะลูก”
ระหว่างรับประทานอาหาร เมธาวีก็เล่าเรื่องโบราณวัตถุ เรื่องรายงานที่อาจารย์สั่งอย่างสนุกสนาน หากแต่ไม่ได้เอ่ยถึงปิ่นปักผมแม้แต่คำเดียว
“เมชอบประวัติศาสตร์พวกนี้เหรอลูก”
“คะ?” เด็กสาวเลิกคิ้ว
“แม่เห็นเมคุยเรื่องนี้ไม่หยุดเลย”
“ก็ชอบนะคะแม่ ในไทยมีพวกอาณาจักรโบราณยุคก่อนสุโขทัยเยอะแยะเลย กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังขุดเจอกันเรื่อย ๆ เมกำลังคิดว่าจะเรียนต่อด้านโบราณคดีดีไหมคะ“ เมธาวีตอบแล้วถามเชิงปรึกษาถึงการเรียนในอนาคต
“แล้วแต่เลยสำหรับพ่อแล้ว ลูกจะเรียนอะไรพ่อก็สนับสนุนทั้งนั้น ขอให้ลูกมีความสุขกับการเรียนวิชาที่เลือกก็พอ แล้วแม่ล่ะคิดว่าไง”
“แม่ก็คิดเหมือนพ่อจ้ะ” วิมาลาตอบ แต่แววตาแสดงถึงความกังวลเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ เมจะตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้าเรียนโบราณคดีให้ได้ค่ะ”
“กินอิ่มแล้วก็ขึ้นไปพักผ่อนเถอะนะลูก ไม่ต้องช่วยแม่เก็บล้างหรอก วันนี้แม่มีพ่อคอยช่วยแล้ว” วิมาลารีบพูดเมื่อเห็นเมธาวีรวบช้อน น้ำเสียงแม้จะดูเหมือนปกติ แต่ศักดิ์ชายผู้เป็นสามีรับรู้ได้ถึงความกังวลของภรรยา เขามองพลางขมวดคิ้วว่าภรรยากังวลกับสิ่งใด
“ค่ะแม่ งั้นเมขอตัวขึ้นห้องเลยนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
เมื่อร่างของลูกสาวลับตาไป วิมาลาหันมามองสามี ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ศักดิ์ชายก็ถามขึ้นมาทันที
“คุณกังวลเรื่องอะไร”
“คุณนี่รู้ทันฉันจริง ๆ”
“เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ เอาละว่ามาสิว่ากังวลอะไรอยู่”
“คุณยังจำที่คุณปู่ของคุณบอกกับเราตอนที่พาลูกไปกราบท่านได้มั้ย” วิมาลาหมายถึงปู่ของศักดิ์ชาย ซึ่งแยกตัวไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่บ้านสวนตั้งแต่เธอกับสามียังไม่แต่งงานกัน
“เอ ผมจำไม่ได้แล้วสิ จำได้แค่ว่าหลังจากเราไปเยี่ยมไม่นานท่านก็เสียนี่นา”
”ท่านบอกว่าเมมีกรรมผูกพันมาจากอดีต กับอาณาจักรโบราณที่มีชีวิตคนมากมายเกี่ยวข้องด้วย พอลูกพูดเรื่องเรียนโบราณคดีขึ้นมา ฉันก็อดกังวลไม่ได้น่ะค่ะ”
“อ๋อ เรื่องนี้เอง ผมจำได้แล้ว คุณอย่าเป็นห่วงไปเลย ตอนนั้นท่านก็อายุมากแล้วหลง ๆ ลืม ๆ ขนาดกับผมกับคุณพ่อ ท่านยังจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องลูกเราท่านอาจจะแค่พูดไปเรื่อย ๆ ตามจินตนาการของท่านนั่นแหละ ตั้งสิบกว่าปีแล้วคุณยังเก็บมาคิดอยู่อีกเหรอเนี่ย“ ศักดิ์ชายอธิบายแล้วถามกลับ
”แต่ว่า…”
“เอาน่า อย่าคิดมากไปเลย เก็บโต๊ะกันเถอะ จะได้เข้านอน ผมเริ่มง่วงแล้วสิ” เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเก็บจานชามไปทำความสะอาด
วิมาลาถอนใจเล็กน้อย เมื่อสามีตัดบท แม้เหตุผลที่ได้ฟังนั้นจะพอฟังได้บ้าง แต่ความกังวลในใจตามประสาผู้เป็นมารดาก็ยังมีอยู่บ้าง
ทางด้านเมธาวีเมื่อเข้ามายังห้องนอนก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อจากที่อ่านค้างไว้ แต่ด้วยความอ่อนเพลียทำให้เธอผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัว และเริ่มฝัน
ในความฝันนั้นเด็กสาวกำลังยืนมองผู้คนมากมายที่แต่งกายแปลก ๆ ผู้ชายที่สวมแต่กางเกงยาวระดับเข่า บางคนก็สวมผ้าทอมือมีลวดลายแถบกว้างบ้างแคบบ้างลักษณะคล้ายผ้านุ่งผู้หญิงในปัจจุบันสวมใส่เวลาที่จัดงานย้อนยุค ทางด้านผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่สวมเสื้อเช่นกันแต่ใช้ผ้าผืนใหญ่ห้อยคอโดยชายทั้งสองด้านพาดไหล่ ให้ตัวผ้าห้อยลงมาเป็นตัวยูเพื่อปิดบังหน้าอก นุ่งผ้าทอไร้ลวดลาย ความยาวของผ้านั้นยาวคลุมข้อเท้า ทุกคนต่างก็ยืนมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ด้านนอกรั้วไม้ไผ่เตี้ย ๆ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เมธาวีเดินเข้าไปหยุดยังที่ว่างมุมที่มองเห็นด้านในรั้วได้ชัดเจน แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือภาพชายฉกรรจ์แต่งตัวคล้ายนักรบประคองหญิงสาวรูปร่างบอบบางไว้ ระยะที่ยืนนั้นไกลจนเมธาวีเห็นหน้าของชายหญิงทั้งคู่ไม่ชัด และไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน
“พี่คะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” เด็กสาวหันไปถามคนที่อยู่ด้านข้างสองสามคน หากแต่ไม่ได้รับความสนใจเสมือนว่าเธอไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น จึงหันไปมองยังชายหญิงที่ยืนอยู่กลางลาน แล้วจู่ ๆ หญิงสาวก็ดึงปิ่นปักผมออกมา
“นั่นมัน” น่าแปลกที่ในระยะห่างขนาดมองหน้าคนไม่ชัดเจน แต่ปิ่นในมือของหญิงสาวนั้นเธอกลับมองเห็นไปถึงลักษณะรูปร่างของกริชและลวดลายบนปิ่นว่าไม่ได้แตกต่างอะไรกับปิ่นที่เธอได้มาจากชายคนนั้น
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้เมธาวีตกตะลึง น้ำตาไหลรินจากสองตา เมื่อหญิงสาวจับมือชายหนุ่มให้แทงกริชลงบนหน้าอกของตัวเอง
ทันใดนั้นผู้คนรอบข้างที่ในตอนแรกไม่ได้สนใจเธอก็หันมามองแล้วเดินล้อมเข้ามาช้า ๆ เมธาวีตื่นตระหนกเมื่อทุกคนก็เดินเข้ามา
“พระนางได้โปรด ปลดปล่อยพวกเรา ปลดปล่อยพวกเรา”
“พูดอะไรกัน เมไม่รู้เรื่องถอยไปนะ ถอยไป” เด็กสาวพยายามเดินหนี แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงพูดซ้ำ ๆ
“ปลดปล่อย ปลดปล่อย”
“กรี๊ด ช่วยด้วย” เมธาวีร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“เม เม เป็นอะไรลูก” วิมาลาเขย่าตัวลูกสาว โดยมีศักดิ์ชายกำลังเปิดไฟ
“แม่คะ ช่วยเมด้วย” เมธาวีกอดรัดมารดา น้ำตายังนองหน้า
“ฝันร้ายเหรอลูก” ศักดิ์ชายเข้ามานั่งอีกด้านพร้อมกับลูบศีรษะลูกสาวไปด้วย
เมื่อได้สติ เมธาวีก็บอกบิดามารดาว่าเธอฝันร้ายโดยไม่เล่ารายละเอียดของความฝันให้ฟัง เพราะไม่อยากกล่าวถึงปิ่นปักผมอันนั้น
“ให้แม่นอนเป็นเพื่อนมั้ย” วิมาลาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ เมนอนคนเดียวได้ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เป็นห่วง” เมธาวียกมือไหว้บิดามารดา
“แต่แม่ว่า”
“เอาน่าคุณ ถ้าลูกบอกว่านอนคนเดียวได้ก็ปล่อยลูกเถอะ” ศักดิ์ชายลุกขึ้นดึงตัวภรรยาให้ออกนอกห้อง ปล่อยให้ลูกสาวอยู่ตามลำพัง
เมื่ออยู่คนเดียวเมธาวีก็ลุกขึ้นไปหยิบปิ่นออกมาดูอีกครั้ง
“สงสัยจะคิดมากจนเอาไปฝัน ช่างเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็จะเอาไปคืนอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรหรอก” เด็กสาวพึมพำ และทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง และหลับสนิทไม่ฝันอะไรอีกเลย
