9 ตามหานารี 1
“มันแปลกมากลุงผู้ใหญ่”
ชายหนุ่มทั้งสองย้อนกลับมายังที่เดิม เขี้ยวแก้วชั่งใจอยู่ชั่วครู่แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ผู้ใหญ่นาคใจหายวะวาบนึกเป็นห่วงลูกสาวครามครัน
“มันเป็นยังไงหือ”
“พายุมันไม่พัดลงมาทำลายโค่นต้นไม้อย่างที่พรานบุญบอกเอาไว้จริงๆ แต่ว่ามันทำลายเฉพาะยอดไม้แล้ววนไปทางทิศใต้โน่น”
พรานบุญได้รับคำรายงานจากเขี้ยวแก้วดังนั้น หน้าตื่นตระหนกสุดขีด รู้ว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งได้รู้ถึงทิศทางลมที่พัดผ่าน จากนี้ไปจะต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว
“ทิศใต้หรือ”
“จ้ะพี่บุญ ผมไอ้บัวเห็นจะๆ ด้วยสองตานี่เลย”
พร้อมบัวชี้นิ้วใส่ตาคมวาวของตัวเองโดยเร็ว ไม่มีคำพูดใดๆจากพรานบุญ และทุกคนเห็นร่างหนากำยำของเขาปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ต้นเดียวกันกับที่เขี้ยวแก้วและพรานบัวปีนขึ้นไปเมื่อครู่ หลังจากเพ่งมองไปเบื้องหน้า เมื่อลงมาที่พื้นเรียบร้อยแล้วเขาเดินปาดเหงื่อเข้ามาหาทุกคน ด้วยท่าทางงุนงงต่อปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
“ทำไมพายุมันพัดแปลกอย่างนั้นก็ไม่รู้”
ผู้ใหญ่นาคได้ยินดังนั้น รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แน่ใจแล้วว่าลูกสาวคงไม่รอดแน่ ทว่า แกยังมีหวังเพราะยังไม่เห็นศพด้วยสองตา แต่การที่ลมพายุพัดเรี่ยเฉพาะยอดไม้เป็นการยากที่จะติดตามถูกเพราะป่าที่นี่เป็นป่าทึบมีแต่ต้นไม้สูง
“มันแปลกอย่างที่เขี้ยวแก้วบอกนั่นแหละผู้ใหญ่ มันพัดยอดไม้ลู่ไปทางทิศใต้ เหมือนกับไปทางภูเขาเขียวลูกนั้น”
“ภูเขาเขียว”
ผู้ใหญ่นาคพูดเสียงสั่นๆ มันเป็นภูเขาลูกใหญ่เต็มไปด้วยป่าหนาแน่นขนัด และสัตว์ร้ายนานาชนิดที่สามารถฉีกร่างมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆ หากว่าหลงเข้าไปในอาณาบริเวณของมัน เมื่อเผชิญหน้ากันแล้ว ยากที่จะรอดชีวิตกลับออกมาได้
“เราจะไปถึงหรือแค่เพียงป่าข้างล่างก็แทบแย่แล้ว”
ลูกบ้านคนหนึ่งครางด้วยความหวาดกลัว เพราะรู้ถึงกิติศัพท์ความโหดร้ายของสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนั้นได้เป็นอย่างดี
“ใช่ ถ้าลมพายุหอบร่างลูกสาวผู้ใหญ่ไปที่ภูเขาเขียวจริงๆ มันน่ากลัวนะ เมื่อก่อนผมได้ข่าวว่ามีเสือกลายร่างเป็นคนอาศัยอยู่บนถ้ำสูง มันอยู่ที่นั่นเป็นฝูง แต่ไม่มีใครเข้าถึงตัวพวกมันได้สักคนเดียว”
พรานบุญพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มจัด แม้ว่าเป็นพรานป่ามือฉกาจ แต่ไม่กล้าย่างกรายไปที่ภูเขาแห่งนั้นแม้แต่ครั้งเดียว บัดนี้ใบหน้าผู้ใหญ่นาคซีดเผือดจนขาวเหมือนแผ่นกระดาษ พลางยกมือไหว้ท่วมหัว
“ขอให้นารีปลอดภัยด้วยเถิด อย่าให้มีสิ่งใดทำอันตรายเลย”
ช่างน่าอัศจรรย์นัก สิ้นคำอธิษฐานของชายสูงวัย ปรากฏลมเย็นๆพัดผ่านมาปะทะกายทุกคนจนเกิดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ความหวาดหวั่นเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อมองขึ้นไปบนต้นไม้ ใบไม้ไม่ไหวแม้แต่น้อย ผู้ใหญ่นาคเกิดอาการขนลุกซู่ หันมองหน้าลูกบ้านทุกคน
“ถ้าใครกลัวล่ะก็กลับไปก็ได้นะ แต่ข้าจะขอตามลูกสาวจนถึงที่สุด”
ผู้ใหญ่นาคประกาศเสียงดังฟังชัด เพราะรู้ดีว่าทุกคนหวาดกลัวต่อภูเขาเขียวลูกนั้น แต่ลูกบ้านพากันส่ายหน้าไปมา รู้สึกเห็นใจผู้ใหญ่นาคที่ต้องบุกป่าฝ่าดงเพียงลำพังกลัวว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ
“พวกเราจะไปกับผู้ใหญ่ มาจนถึงขนาดนี้แล้วคงไม่ทิ้งกันหรอก ผู้ใหญ่กินน้ำนี่เถอะเราจะได้เดินทางต่อ ไปทางไหนบอกด้วยก็แล้วกัน พวกเราพร้อมลุย”
ผู้ใหญ่นาคยิ้มให้กับลูกบ้านที่พร้อมใจกันติดตามแกไปทุกหนทุกแห่ง แม้รู้ว่าแต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยภัยอันตรายก็ตามที
“พรานบุญเราจะมุ่งหน้าไปทางใต้ใช่ไหม”
มือใหญ่แข็งแรงส่งกระบอกน้ำคืนแก่ลูกบ้านคนหนึ่งไปแล้ว ผู้ใหญ่นาคหันมาถามพรานบุญด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย หลังจากดื่มน้ำไปแล้ว รู้สึกพลังและกำลังวังชามันได้ย้อนกลับคืนมาสู่ร่างอีกครั้ง
“ใช่ ดีเลยไปทางใต้มีธารน้ำ เราไม่อดน้ำหรอก”
พรานบุญพูดพลางปอกกล้วยน้ำว้าสุกใส่ปากกลืนกินด้วยความรวดเร็ว เขี้ยวแก้วเห็นดังนั้นจึงส่งให้ผู้ใหญ่นาคหนึ่งลูก ซึ่งแกกินยังไม่หมดดีด้วยซ้ำ แล้วโยนทิ้งลงกับพื้นและยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มเขี้ยวแก้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง
“ลุงผู้ใหญ่น่าจะกินเยอะๆนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีแรงเดินทาง”
ผู้ใหญ่นาคมองหน้าเขี้ยวแก้วตรงๆ รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นห่วงตน และปรนนิบัติกับเขาเหมือนเป็นพ่อ ทำให้แกรักเอ็นดู คิดว่าถ้าเจอลูกสาวจะยกให้แต่งงานด้วยจะได้หมดห่วง