8 ตามหานารี
หนุ่มวัยฉกรรจ์ได้ออกปากฝากบุพการีของตนให้ภรรยาผู้ใหญ่บ้านช่วยเป็นหูเป็นตาแทนของตน และสัญญาว่าจะดูแลผู้ใหญ่นาคจนสุดความสามารถ บุญช่อซึ้งใจจับมือเขี้ยวแก้วเอาไว้แน่น แววตาที่มองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“เขี้ยวแก้วเอ๊ย เอ็งช่างดีอะไรอย่างนี้ไม่ต้องห่วงพ่อแม่เอ็งหรอกนะ ป้าจะดูแลให้เอง ป้าฝากผู้ใหญ่ด้วยก็แล้วกันนะ ผู้ใหญ่อายุมากแล้ว เรี่ยวแรงคงไม่เหมือนคนหนุ่มๆหรอก หวังว่าเอ็งคงเข้าใจที่ป้าพูดนะ”
“ผมเข้าใจ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมลาก่อน”
เขี้ยวแก้วไหว้ลาหญิงผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีแล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนผู้กล้าที่รออยู่ เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่นาคหันมามองหน้าภรรยาชั่วครู่ ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วตัดใจเดินมุ่งหน้านำขบวนไปยังราวป่า เหล่าบรรดาญาติๆที่มาส่งต่างมองหน้ากัน เวลานี้ทำได้แต่ภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย จากนี้เป็นต้นไปคงไม่มีชายฉกรรจ์วัยแกร่งเป็นเวลาถึงสามเดือนเต็ม ทุกคนสมัครใจไปกับผู้ใหญ่นาคด้วยกันทั้งสิ้น
ครั้งแรกๆที่ออกเดินทางทุกคนกระปรี้กระเปร่าร่าเริงแจ่มใส พูดคุยหยอกล้อกันตลอดเวลา ทว่า เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า พลังแข้งขากลับเมื่อยล้าอ่อนเปลี้ยลงทุกที เสบียงกรังที่นำมาด้วยรู้สึกว่ามันหนักจนบ่าต้านเอาไว้ไม่อยู่ ผู้ใหญ่นาคกับพรานสองคนเดินสำรวจทิศทางป่าซึ่งมีร่องรอยหักโค่นซึ่งเป็นผลจากพายุประหลาดที่พัดผ่านเมื่อคืนที่แล้ว
“เหนื่อยนักก็พักก่อนนะ”
ผู้ใหญ่บอกแก่ลูกบ้านทุกคนด้วยความเห็นใจ ซึ่งก็เหมือนคำประกาศิตขบวนลูกหาบหยุดลงแล้วปลดของทุกอย่างออกจากบ่าโดยเร็ว บางคนนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง
“ข้ารู้ว่าทุกคนเหนื่อย”
ผู้ใหญ่นาคบอกเอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจ เพราะตั้งแต่เคลื่อนขบวนออกจากหมู่บ้านมา ไม่ได้แวะหยุดพักแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน แต่ละคนพยายามกัดฟันเดินไปข้างหน้า โดยไม่ย่อท้อหรือบ่นให้ได้ยินแม้แต่แอะเดียว สร้างความประทับใจให้แก่ผู้นำหมู่บ้านไม่น้อย ถ้าเสร็จสิ้นภารกิจนี้ เขาจะต้องตอบแทนทุกคนให้คุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก
“ข้าเสียใจที่พาพวกเอ็งมาลำบากอย่างนี้”
น้ำเสียงผู้ใหญ่นาคเต็มไปด้วยความเวทนา เมื่อเห็นลูกหาบซึ่งเป็นลูกบ้านของตน พากันบีบนวดตามแข้งขาตัวเองไปมา บางคนถึงกับคว้ากระติกน้ำออกจากสายสะพายแล้วยกขึ้นดื่มด้วยความหิวกระหาย
“แต่พวกเราเต็มใจ ความเหนื่อยเพียงแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกผู้ใหญ่ เดินต่อไปเถอะ”
ลูกบ้านวัยฉกรรจ์คนหนึ่งพูดเสียงดังฟังชัด แต่ใบหน้าแฝงไปด้วยความเมื่อยล้าอย่างชัดเจน ผู้ใหญ่นาคเห็นแล้วใจหายวูบ นับถือในน้ำใจของทุกคน ยอมเหนื่อยยากเพื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
“ขอบใจพวกเอ็งทุกคน ข้าว่าเราพักเหนื่อยกินข้าวที่ห่อมากันเถอะ ใครมีอะไรติดมือมาบ้าง มื้อนี้แบ่งกันกินนะ ส่วนมื้อเย็นเราค่อยหุงหากินกัน”
สิ้นคำของผู้ใหญ่นาค ทุกคนเอาข้าวที่ห่อมาจากบ้านออกมา แล้ววางลงที่พื้นพากันล้อมวงกินด้วยความหิวโหย รวมทั้งผู้ใหญ่นาค พรานบุญ พรานบัวและเขี้ยวแก้วที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ กับสำรับอาหารพื้นบ้านต่างยอมรับว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุด เท่าที่เคยกินมา
หลังอาหารเที่ยงผ่านพ้นไปชั่วครู่ ทุกคนมีเวลาพักผ่อนตามสะดวก พรานบุญเข้ามากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างแก่ผู้ใหญ่นาค ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อพรานผู้ชำนาญทางบอกว่าร่องรอยลมพายุหายไปแล้ว
“มันเป็นไปได้ยังไง จู่ๆ ลมจะหายไป”
ผู้ใหญ่นาคเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น บัดนี้ภายในใจรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวเต็มกำลัง ถ้าลมพายุบ้านั่นไร้ร่องรอยจริงๆ โอกาสที่จะเจอนารีคงรางเลือนเต็มที สวรรค์ทำช่างโหดร้ายกับคนเป็นพ่อได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“นั่นน่ะสิผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน หรือว่าลมมันเปลี่ยนทิศพัดขึ้นฟ้าไปแล้ว”
พรานบุญออกความเห็นด้วยความรู้สึกส่วนตัว แต่สีหน้าแฝงไปด้วยความกังวลถึงกับถอนใจออกมาแผ่วเบา เขี้ยวแก้วซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พลอยใจไม่ดีไปด้วย วูบหนึ่งคิดถึงนารีขึ้นมาโดยกะทันหันได้แต่ภาวนาให้เจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยให้เธอรอดพ้นจากความตายในครั้งนี้ด้วยเถิด
“มานี่เถอะพรานบัว เราไปปีนต้นไม้ดูกันดีกว่า”
พรานบัวคือพรานลูกน้องของพรานบุญ ที่มีวัยไล่เลี่ยกับเขี้ยวแก้ว เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากชวน พรานบัวรู้ว่าถึงเวลาที่จะแสดงความชำนาญไพรให้ทุกคนได้ประจักษ์ต่อสายตา หลังจากเดินห่างจากที่พักออกมาพอประมาณ ทั้งสองปีนป่ายต้นไม้ต้นสูงจนถึงยอด ได้สอดส่ายสายตามองร่องรอยพายุร้าย ครู่ใหญ่ๆ จึงพากันปีนลงมา