14 ผจญผีกองกอย
สางถามเบา ๆ วันนี้สางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งพูดหยอกล้อ ทั้งยิ้มสดชื่น อะไรไม่ร้ายเท่าดวงตาคู่นั้น ทอประกายวับวาว ราวกับซ่อนปมปริศนาทางใจเอาไว้ นารีรู้สึกสนิทสนมกับเขามากกว่าเดิม กล้าที่จะร้องขอต่ออาหารที่ต้องการ
“ไก่ป่ามีไหม”
สางทำหน้าฉงนเพียงเล็กน้อย เมื่อมองใบหน้าพริ้มเพรา เห็นริมฝีปากบางระเรื่อด้วยเลือดฝาดวัยสาว แม้ว่าใบหน้าจะเขรอะไปด้วยฝุ่น แต่ยังคงความงามเอาไว้ครบถ้วน หากได้ล้างหน้าทำความสะอาด คงจะดูดีไม่น้อย
“มีสิ เจ้าจะกินกี่ตัวล่ะ ข้าจะไปหามาให้”
“แค่ตัวเดียวก็พอแต่ฉันอยากให้มันสุกก่อนถึงจะกินได้”
ไม่ต้องอธิบายว่าจะทำอย่างไร ไก่ถึงจะสุก สางชะงักได้ชั่วครู่ รู้ดีว่าไฟกับเขาไม่ถูกกัน เสือแปลงทุกตัวกลัวไฟที่สุด เข้าใกล้ครั้งใด รู้สึกร้อนรุ่มราวกับจะเผาเนื้อให้เปื่อยยุ่ยขาดออกจากกัน แต่หญิงนางนี้ต้องการความร้อนจากไฟ เขาจะทำอย่างไรดี ถึงจะไม่ให้เธอสงสัย
“ข้าสุดปัญญาจะหาไฟมาให้เจ้าได้”
นารีถอนหายใจยาว รู้สึกเห็นใจไม่น้อยเพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบไฟหรือว่าไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากกองไฟเลย
“ช่างเถอะถ้าอย่างนั้นฉันขอกล้วยสุกก็พอแล้ว”
น้ำเสียงที่ท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสได้ชิมลิ้มรสเนื้อสัตว์เลิศรส สางมองสาวงามด้วยดวงตาอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าสงสารเจ้าจริงๆที่ข้าไม่สามารถทำตามความต้องการของเจ้าได้”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากเลย ฉันพยายามรักษาตัวให้หายเร็วๆ อีกไม่นานคงจะหายดีแล้วขอบคุณมากนะ”
นารีหลับตาลงอีกครั้ง บัดนี้ไม่ใส่ใจที่จะสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น เธอต้องการพักผ่อนให้มากที่สุด เพื่อรักษาตัวให้หายโดยเร็ว จะได้กลับไปสู่อ้อมกอดของพ่อแม่ ไม่ต้องมานอนกลางดิน กินกลางทรายเหมือนทุกวันนี้ สางที่ยืนอยู่ใกล้ๆถือหวีกล้วยหอมลูกโตสุกเหลืองอร่ามวางลงข้างตัวเธอ
“เจ้ากินเสียนะ ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”
หญิงสาวผวาเฮือก เมื่อรู้ว่าสางจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง ได้แต่มองด้วยความสงสัย เขาเพิ่งเข้ามา แล้วทำไมต้องกลับออกไปอีก เวลานี้เธอยอมรับว่ากลัวเสือที่สุด
“เมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงเสือจริงๆนะ คุณออกไปไม่กลัวมันกัดหรือ”
แท้จริงแล้ว เธออยากจะห้าม ไม่ให้สางออกไปข้างนอก กลัวว่าจะได้รับอันตรายจากเสือร้าย แต่เธอไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้ ผู้ชายคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองสูง อีกทั้งอาศัยอยู่ในป่าลึกแห่งนี้มานาน คงมีทางหนีทีไล่ที่ดี แต่เธอไม่รู้ว่าการพูดย้ำเรื่องเสือบ่อยๆ ทำให้ดวงตาเขาหม่นลง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลัวเสือมากสินะ”
“ก็มันน่ากลัว”
“แต่เสือบางตัวไม่น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก ข้าไปเพียงครู่เดียวและรู้ด้วยเถิดว่าไม่มีใครเข้ามาในถ้ำนี้ได้”
สางก้าวเดินออกจากถ้ำไปด้วยความเร็ว นารีใจสั่นระส่ำด้วยความหวาดกลัวจนต้องนอนหลับตานิ่งๆ และสวดมนต์เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งปวง
สางออกไปยืนอยู่หน้าถ้ำ ยกมือทั้งสองข้างทาบอกเอาไว้ ปากขมุบขมิบ เสียงครืนดังสามครั้ง ชายหนุ่มยิ้มด้วยความพอใจและเดินหายลับเข้าไปในป่าทึบ สิงสาซึ่งแอบดูห่างๆถึงกับร้องลั่นด้วยความโกรธ
“สางกลัวพวกเราเข้าไปทำร้ายนังมนุษย์นั่น ถึงกับสวดคาถาปิดถ้ำเลยเรอะ คอยดูเถอะข้าจะขย้ำมันให้แหลกคามือเชียวล่ะ”
อารมณ์โกรธทำให้สิงสากลายร่างเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ แล้วกระโจนหายวับเข้าไปในป่ากว้าง ด้วยความเร็วสูง ระหว่างที่ห้อตะบึงไปนั้นในใจมีแต่ความเคียดแค้นผู้หญิงที่สางช่วยชีวิตเอาไว้ ได้แต่รอว่าถ้าสางเผลอเมื่อไหร่ เธอจะกำจัดมารหัวใจให้สิ้นซาก
คณะของผู้ใหญ่นาคหยุดพักแรมใกล้ๆ กับธารน้ำสายเล็กๆ ลูกบ้านช่วยกันหุงหาอาหารและสร้างห้างบนต้นไม้สำหรับหลับนอน โดยที่เขี้ยวแก้วอาศัยอยู่บนห้างเดียวกัน ก่อนขึ้นนอนลูกบ้านช่วยกันก่อกองไฟเอาไว้รอบๆ ที่พักเพื่อกันไม่ให้สัตว์ร้ายเข้ามารบกวน ความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาทั้งวันทุกคนต่างม่อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่เพียงผู้ใหญ่นาคและเขี้ยวแก้วเท่านั้นที่ยังคงนั่งเพ่งมองกองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ด้านล่าง
“ผมคิดว่าถ้าไฟมอดแล้วจะลงไปสุมใหม่”
เขี้ยวแก้วพูดขึ้นลอยๆ ผู้ใหญ่นาคหันมามองหน้าแล้วยกมือโบกไปมา ชายหนุ่มมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้น ทำไมชายสูงวัยถึงห้ามไม่ให้เขาลงไปเบื้องล่าง