13 นารีกลัวเสียงเสือ
“สางข้าจะชวนเจ้าไปที่น้ำตก เราไปกินน้ำศักดิ์สิทธ์กัน”
สิงสาเอ่ยชวนด้วยสีหน้าระเริงรื่น แล้วปราดเข้ามาจับมือใหญ่กระชับเอาไว้แน่น แต่สางสะบัดออกเต็มแรง สิงหน้าหน้าเผือดลง มองชายที่พึงใจด้วยตาละห้อย
“เจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้าหรอก”
“เอ๊! แต่ข้าหวังดีต่อเจ้านะ เจ้าอย่าลืมสิว่าวันนี้เป็นคืนเดือนดับเราต้องดื่มน้ำเพิ่มพลังไม่เช่นนั้นกำลังเราจะลดถอย”
นางเสือสาวพยายามย้ำเตือนถึงวันสำคัญให้สางได้รับรู้ แต่ชายหนุ่มหาใส่ใจไม่ ได้แต่นิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้ต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น
“เจ้าไปเถอะ”
สางไล่สิงสาด้วยความชิงชัง เวลานี้แม้แต่หน้ายังไม่อยากมองให้เสียหางตา แทนที่ฝ่ายหญิงจะรู้ตัวว่ากำลังเป็นที่รังเกียจ นางยังคงดื้อดึงตื๊อด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน หวังว่าสางจะใจอ่อน ยอมเดินเคียงข้างคู่กัน
“แล้วเจ้าล่ะไม่ไปด้วยหรือ”
“ถ้าข้าไปเจ้าก็เห็นเอง”
สางตอบอย่างไม่ใยดี สร้างความเจ็บปวดให้เกิดแก่นางเสือแปลงเพศเมียไม่น้อย กริยาที่เฉยชาทุกครั้งที่ได้สนทนาด้วยกัน ใครล่ะจะทนได้ เมื่อใจประหวัดนึกถึงมนุษย์สาวที่สางเก็บมาดูแลรักษาเป็นอย่างดี สิงสาโกรธจนตาเหลืองเข้มมากกว่าเดิม
“ข้ารู้แล้วเจ้าห่วงนังมนุษย์เพศเมียคนนั้นใช่มั้ย เจ้าอย่าคิดสมสู่กับมันเชียวนะ มันจะทำให้กำลังเจ้าถดถอยลงไปจนกลายเป็นผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว”
เสมือนหนึ่งก้อนหินขนาดใหญ่ฟาดทุบลงมากลางกบาล สางสุดทนเงื้อฝ่ามือใหญ่ตบหน้าสิงสาเต็มแรง หน้าเหลี่ยมสะบัดตามแรงจนถลาล้มลง แล้วทรุดนั่งบนก้อนหินอย่างสิ้นท่า นางเสือสาวตวัดตามองเขาด้วยความโกรธแค้น สางเห็นเลือดออกตรงมุมปาก แต่หาใส่ใจไม่
“สาง นี่เจ้ากล้าตบหน้าข้า เพราะนังมนุษย์นั่น”
เสียงนางเต็มไปด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยวจนสุดจะทนไหว พร้อมทั้งทำท่าจะโผนทะยานเข้าหา สางเห็นดังนั้นผลักร่างสิงสาออกห่างจากตัวโดยเร็ว
“เจ้าอย่ามาสู่รู้นักเลย อย่ามายุ่งเรื่องของข้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะเจ็บตัว”
“ข้าจะฆ่านังมนุษย์นั่น”
แทนที่สิงสาจะเข็ดขยาดต่อพลังฝ่ามืออันหนักหน่วง กลับแผดร้องก้องกังวานด้วยความโกรธ เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา เหล่าสกุณาที่เกาะอยู่ตามยอดไม้ พากันทะยานบินขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ
“ก็ลองดู ถ้าเจ้าทำอย่างนั้นชีวิตเจ้าจะไม่มีเหลืออีกต่อไป ไปไหนก็ไปอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกเป็นอันขาด”
เมื่อถูกไล่เป็นคำรบที่สอง สิงสาสุดจะทนวิ่งเหยียบก้อนหินขึ้นไปบนเขาที่สูงชัน ส่งเสียงคำรามดังก้องไปทั้งหุบโตรกผา เสียงนั้นทำให้นารีซึ่งนอนอยู่ในถ้ำถึงกับขวัญผวาลุกขึ้นนั่งด้วยตัวสั่นงันงก
“ทำไมเสียงเสือถึงได้ดังตลอดเวลา มันคงอยู่ใกล้ๆ ถ้ำนี่แล้วล่ะ มันจะเข้ามาทำร้ายเราหรือเปล่านะสางคุณอยู่ที่ไหนช่วยฉันด้วย”
นารีหวาดกลัวจนแทบระงับเอาไว้ไม่อยู่ รู้ว่าใจเต้นแรงมากขึ้น ผวาสัตว์หน้าขนจะทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เพราะรู้ว่าถ้ำแห่งนี้อยู่บนภูเขาในป่าลึกที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาพันธุ์ หวนนึกไปถึงพ่อแม่ป่านนี้ท่านคงเป็นห่วงเธอจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ในขณะกำลังอกสั่นขวัญระทึก ต่อสรรพเสียงที่ได้ยิน เธอรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวเข้ามาตรงปากถ้ำ แต่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น ตาทั้งสองข้างปิดสนิท และท่องบทสวดมนต์ให้ช่วยคุ้มครองอันตรายที่กำลังจะได้รับ
“เจ้าเป็นอะไรไป”
เสียงของสางนั่นเอง บัดนี้หญิงสาวรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ความกลัวต่างๆเมื่อครู่ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น เปลือกตาคู่สวยค่อยๆลืมขึ้น ทันได้เห็นมือหยาบใหญ่จับไหล่บอบบางเขย่าเพียงเบาๆ
“กลัวหรือ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรที่ส่งมาให้นั้น นารีอุ่นใจขึ้นมาเป็นกอง แทบจะผวาเข้ากอดร่างใหญ่กำยำเอาไว้ แล้วซุกหน้าลงกับอกอันกว้างแกร่ง
“คุณนั่นเอง ฉันกลัวแทบแย่ เมื่อครู่ใช่เสียงเสือหรือเปล่า”
ถามด้วยเสียงละล่ำละลัก สางส่ายหน้าช้าๆ สายตาอ่อนแสงลง รู้สึกสงสารผู้หญิงที่นอนเจ็บอยู่บนที่นอนของเขาเต็มกำลัง อยากจะปลอบโยนให้คลายจากอาการหวาดผวา และเคืองแค้นสิงสาที่ส่งเสียงเขย่าประสาท
“ไม่ใช่หรอก หูเจ้าคงแว่วไปน่ะ”
“แต่เสียงเสือนะ เสียงเหมือนมันพูดกันแล้วคำรามออกมา คุณไม่ได้ยินจริงๆ หรือ”
สางเลิกคิ้วหัวเราะออกมาเบาๆ ทำให้ใบหน้าที่ขรึมดูดีกว่าเดิม นารีมองด้วยความเพลิดเพลิน ลืมความกลัวไปชั่วขณะ
“นี่เจ้าฟังรู้ด้วยหรือว่าเสือมันคุยกัน”
“ก็เดาเอา”
สางปล่อยมือที่จับไหล่บางออกโดยเร็ว เขารู้ดีว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับผู้หญิงคนนี้นานจนเกินไป จะทำให้หัวใจไขว้เขวมากกว่านี้ พยายามฝืนกลั้นความรู้สึกพิเศษเอาไว้เต็มที่
“เจ้าอย่าเดาส่ง ถ้าไม่รู้ก็อยู่เฉยๆ แล้วนี่หิวหรือยัง”
“ก็หิวเหมือนกัน กินผลไม้ไม่ค่อยอยู่ท้องเลย”
“แล้วเจ้าอยากกินอะไรล่ะ”
หญิงสาวนึกทบทวนคำพูดของสางที่บอกว่าชอบกินเนื้อสัตว์ดิบๆ ถ้าเธอขอร้องให้เขาจับสัตว์และย่างไฟให้สุก ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับประทานหรือไม่
“ว่าไงเจ้าอยากกินอะไร”