11 เจ็บเพราะน้ำมือมนุษย์
นารีกินผลไม้ที่สางหามาให้จนอิ่ม แต่เขายังคงยืนนิ่งอยู่ในลักษณะเดิมๆ ไม่ใส่ใจที่จะหยิบขึ้นมากิน หญิงสาวมองด้วยความสงสัย และคิดไปเองว่า บางทีสางอาจจะเขินอายเมื่ออยู่ตามลำพังกับผู้หญิง ทำให้เขากลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
“คุณไม่หิวหรือ เอานี่สิกล้วยยังเหลืออีกห้าลูก”
สาวสวยลังเลอยู่นานก่อนจะยื่นกล้วยหอมลูกใหญ่ให้เขา สางหันมามองแล้วส่ายหน้าช้าๆ หากสังเกตให้ดีจะเห็นแววตาที่สลดหดหู่ปรากฏอยู่ แต่ก็แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น
“ข้าไม่ชอบกินกล้วย ข้าไม่ชอบผลไม้ทุกชนิด”
“อ้าว...แล้วไม่หิวหรือ”
นารีถามด้วยความเป็นห่วง สางทรุดกายนั่งลงใกล้ๆ นารีรู้สึกว่าใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว และถือโอกาสสำรวจดูเขาอีกค่ะ จึงได้คำตอบว่าสางเป็นผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง มัดกล้ามเต็มตัว แต่มีอำนาจลึกลับจนเธอไม่กล้าสบสายตา
“ข้ากินแล้ว”
“คุณกินอาหารแต่เช้าเลยหรือคะ”
“ไม่...ข้ากินตั้งแต่เมื่อคืน กินครั้งเดียวแต่อิ่มไปทั้งวัน”
นารีได้ยินดังนั้น อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มันเกิดอะไรขึ้น ในโลกนี้จะมีมนุษย์คนไหนเป็นอย่างสางบ้าง เขาเป็นคนแปลกจริงๆ แปลกทั้งคำพูดและพฤติกรรม ทำตัวเหมือนสัตว์ร้าย ออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืน อยากจะซักถามให้ละเอียด แต่คิดว่าไม่สมควรเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวจึงตัดบทชวนคุยในเรื่องอื่น
“คุณอยู่คนเดียวในถ้ำอย่างนี้ไม่เหงาหรือคะ”
“เหงาคืออะไร”
แปลกประหลาดอีกแล้ว เขาไม่รู้จักคำว่าเหงา หญิงสาวเผลอยกนิ้วขึ้นเกาศีรษะเบาๆ เห็นทีว่าต่อจากนี้ไป คงต้องสอนเกี่ยวกับความหมายของคำพูดให้เขาได้รับรู้ให้ละเอียด
“เหงาหมายถึง ผู้ที่อยู่คนเดียวไม่มีใครเป็นเพื่อน ไม่มีพ่อแม่คนรอบข้าง แปลกจังอยู่คนเดียวในป่าลึกอย่างนี้ คุณไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นเลยหรือ”
“ใครบอกว่าที่นี่ไม่มีใคร”
สั้นแต่ได้ใจความ นารีต้องการที่จะเห็นมนุษย์พวกนั้นแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ ดวงตาคู่สวยเป็นประกายสดใสทันที
“หรือคะ ถ้าอย่างนั้นคุณพาฉันไปรู้จักคนพวกนั้นด้วยเถอะค่ะ ฉันดีใจที่มีคนอยู่ พวกเขามีความสุขดีไหมคะ”
“อย่าเลย อยู่ที่นี่ดีแล้วอย่าไปยุ่งกับพวกเขา ต่างคนต่างอยู่”
สางห้ามทันควันด้วยเสียงไม่สู้พอใจนัก นารีมองด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเขามีเรื่องกินใจกับบุคคลเหล่านั้น สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นกลางใจ เรื่องแบบนี้ไม่อาจปล่อยให้คั่งค้างเอาไว้ได้ จะต้องซักถามให้รู้แจ้ง
“ทำไมค่ะคุณถึงชอบอยู่คนเดียวโดยไม่คบหาสมาคมกับใคร”
“ข้าชอบอยู่เงียบๆไม่ชอบเสียงดัง เอาล่ะเจ้าพักเถอะข้าจะออกไปดูอะไรข้างนอก”
สางรีบตัดบทสนทนาโดยเร็ว พร้อมกันนั้นร่างใหญ่กำยำลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ นารีมองตามด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ตน แต่ก็คิดว่าสางคงไม่ปล่อยให้เธอเผชิญอันตรายตามลำพัง จึงล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม
“สาง บางทีฉันอยากออกไปนอกถ้ำไปสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่ช่างเถอะรอให้ฉันหายดีก่อนแล้วฉันจะเดินออกไปเอง”
ปรารภออกมาเพียงเบาๆเท่านั้น น่าแปลกสางหันกลับมาโดยเร็ว จ้องเขม็ง อีกแล้ว! นารีคร้ามเกรงต่อสายตาของเขาจนต้องหลบโดยเร็ว
“อย่าไปไหนตามลำพัง ที่นี่มันอันตรายมาก”
สางห้ามเสียงแข็ง แต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง นารีใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ยังมีคนใส่ใจในตัวเธอ แม้ว่าเพิ่งได้พบกันก็ตาม เวลานี้จะต้องรักษาชีวิตเอาไว้ เพื่อพ่อแม่ที่รออยู่ทางบ้าน ท่านคงดีใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าเธอยังไม่ตาย
“ขอบใจนะที่คุณเป็นห่วงฉัน ฉันจะทนรักษาตัวเพื่อกลับไปหาพ่อแม่ เมื่อหายดีแล้วคุณจะไปส่งฉันหรือเปล่า”
สางมองหน้าเธออีกครั้ง นัยน์ตาอ่อนโยนลงบ้างแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก่อกวนในหัวใจ แต่เขาพยายามเตือนตนเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ไปส่งสิ ข้าเองก็รู้ว่าการที่มนุษย์เข้ามาอยู่ร่วมด้วยนั้น มันอันตรายมาก”
คำพูดของสางทำให้นารีอดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่ใช่คน แล้วเขาเป็นอะไรล่ะ มนุษย์หมาป่าหรือพวกเสือสมิงแปลงร่าง โอย แค่คิดความหวาดผวาเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน หากว่าเป็นอย่างที่คาดเดาเอาไว้จริงๆ เท่ากับว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย
“คุณพูดเหมือนกับว่า คุณกับพรรคพวกไม่ใช่มนุษย์ ถ้าไม่ใช่มนุษย์ทำไมคุณถึงมีร่างกายเหมือนกับพวกเรา”
แม้ว่าจะหวาดกลัวสักเพียงไหน แต่เธอก็อยากรู้ความจริงว่าสางเป็นใครกันแน่ ทำตัวลึกลับชวนสงสัย โดยไม่รู้ว่าคำถามนั้นได้คาดคั้นเขาอย่างหนักหน่วงถึงกับขบกรามแน่น
“อย่าถามข้าอย่างนั้น ข้าไม่ชอบให้ใครมาส่งเสียงดัง เจ้านอนเถอะข้าจะออกไปข้างนอกเผื่อว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยน อะไรคะเปลี่ยนหรือว่าพ่อฉันจะมารับ”