บทที่3...สวมรอยพลอยโจนรัก...
ร่างที่ยืนขึ้นเต็มความสูงร้อยแปดสิบของเขาทำให้เอมอุมาที่สูงเพียงร้อยหกสิบเจ็ดเซนติเมตรรู้สึกตัวเล็กลงเหมือนลูกแมวยืนเผชิญหน้าราชสีห์ และมีสิ่งหนึ่งทำให้ใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นมากขึ้น
ใบหน้ารูปเหลี่ยมคมเข้มจากเรียวคิ้วดำจมูกโด่งยาวดวงตาใหญ่สีน้ำตาลเกือบดำฉายแววลึกลับกับริมฝีปากบางเฉียบและผิวคล้ำบอกถึงเชื้อชาติลูกผสมที่เอมอุมามองว่า...กึ่งหล่อกึ่งร้าย...ไม่จืดชืดเหมือนผู้ชายในเชื้อชาติเดียวกับตัวเอง
“สวัสดีค่ะ” เอมอุมายกมือไหว้ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
“เชิญนั่ง” ผู้กล่าวเชิญก็ไม่มีรอยยิ้มให้เช่นกัน
เอมอุมานั่งลงมองสบดวงตาคมจับจ้องด้วยกิริยาสองคิ้วเรียวดกดำขมวดมุ่นปากบางเม้มสนิทแสดงถึงความไม่พอใจ และคำถามที่สะดุดหูจากน้ำเสียงบอกความรำคาญ
“คุณทำอะไรเชื่องช้าอย่างนี้เสมอหรือ”
“เอ้อ ไม่หรอกค่ะ พอดีดิฉัน...” เอมอุมาชะงักจากฝ่ามือที่ยกขึ้นห้ามทำให้ไม่ทันได้พูดจบประโยค
“พอแค่นี้” น้ำเสียงขุ่น
“พอ... หมายความว่าไง คุณยังไม่ได้สัมภาษณ์ดิฉันสักคำนะคะ” ความผิดหวังแล่นวูบเข้ามาทันทีที่คิดว่าเขาจะปฏิเสธรับเข้าทำงานทั้งที่ตอบรับแล้วจากการที่ยังไม่ได้คุยเรื่องงานสักคำ
“เอ๊...คุณนี่ยังไง ผมแค่ไม่อยากฟังคำแก้ตัวไร้สาระ เอ้า ไหนบอกมาซิว่าทำไมถึงอยากทำงานที่นี่” เขายิ้มนิดหนึ่งที่คำพูดทำให้อีกฝ่ายหน้าเจื่อน
“เอ้อ...ดิฉันเรียนจบด้านนี้มาค่ะ” เอมอุมาตอบอ้อมแอ้ม คิดว่าการสอบภาคเรียนเทอมสุดท้ายปีสองของสาขาวิชาเลขานุการในมหาวิทยาลัยรวมกับความรู้ที่เรียนจบมาจากโรงเรียนวิชาชีพหลักสูตรเลขานุการภาคภาษาอังกฤษ ที่ได้เรียนมาทั้งวิชาการและการเข้าสังคมคงนำมาใช้ได้กับงานนี้
“อืม...เกรดใช้ได้...” เขาเหลือบตาลงมองแฟ้มสำเนาเอกสารที่ส่งผ่านทางอีเมล์เป็นหลักฐานการศึกษาใบรับรองการทำงานและบัตรประชาชนที่คงจะถ่ายจากเครื่องถ่ายเอกสารคุณภาพต่ำจึงทำให้ความชัดเจนน้อย เขาเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“คุณมีชื่อเล่นไหม”
“เอ้อ...เรียก เอม ก็ได้ค่ะ”
“อ้าว...ไม่ได้เรียก อร หรอกหรือ คุณชื่อ พินทุอร ทำไมให้เรียก เอม ล่ะ”
“ชื่อเล่นไงคะ เพื่อนๆเรียกว่า...เอม...” เอมอุมาไม่อยากสับสนชื่อตนกับชื่อญาติผู้พี่จึงบอกเขาแบบนี้
“อ้อ...”
“คุณอายุเท่าไร”
“สิบ...เอ้อ...ยี่สิบสี่ปีค่ะ” เอมอุมาเกือบหลุดปากบอกอายุจริงที่ตอนนี้สิบแปดปีสี่เดือนแล้ว เพราะทุกสิ่งที่อยู่ในมือผู้จ้างเป็นหลักฐานการศึกษาใบรับรองการทำงานและบัตรประชาชนของญาติผู้พี่
“สายตาสั้นเท่าไร”
“เอ้อ...สอ...สองร้อยกว่าค่ะ” เอมอุมาไม่ได้สายตาสั้นแต่จำเป็นต้องโกหกเพื่อจะใส่แว่นอำพรางใบหน้า
“ปกติคุณแต่งหน้าเยอะขนาดนี้หรือ” สายตาคมปราบของผู้ถามพินิจใบหน้าที่เขาคิดว่าถ้าไม่มีเจ้าเครื่องสำอางที่โบ๊ะมาหนามากขนาดนี้จะดูดีกว่ามากๆ
“ค่ะ ดิฉันชอบ” เอมอุมาตอบเสียงเรียบ
“อืม...ความชอบของผู้หญิง...ก็ตามใจ” เขาตอบรับน้ำเสียงเดียวกัน คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นแสดงว่าเขาไม่ยี่หระว่าเธอจะชอบแต่งหน้าแบบไหน และบอกเรื่องการแต่งตัว
“ผมทำงานอยู่กับบ้าน จะมีไปต่างประเทศบ้างก็นานครั้ง คุณแต่งตัวตามสบายได้ แต่ขอเป็นกระโปรงอย่างเดียว” ผู้กำหนดการแต่งตัวมองพินิจการแต่งกายของเลขาคนใหม่ตั้งแต่แรกที่เธอเดินเข้ามา เสื้อเชิ้ตสีขาวจีบระบายปกปลายแขนกับกระโปรงพรีตสีเทาเข้มยาวเหนือเข่า กระเป๋า รองเท้าคัทชู สีขาว
เอมอุมาสังเกตเห็นแววตาคมของผู้สัมภาษณ์มองกราดทั่วตัวเปล่งประกายวับวามบ่งบอกถึงความพอใจ แต่การพูดคุยทางอีเมล์ เขายังไม่ได้พูดถึงรายละเอียดหน้าที่การงานที่ตำแหน่งเลขานุการของเขาที่ต้องทำ
“ทำไมต้องเป็นกระโปรงอย่างเดียว” อดถามไม่ได้ เขาบอกให้แต่งตัวตามสบายแต่เจาะจงให้ใส่เฉพาะกระโปรง
“มันง่าย ไม่เกะกะ” คำพูดชวนตกใจ ต่างจากสีหน้าแววตาของเขาที่สงบนิ่ง
“ยังไง ดิฉันไม่เข้าใจ” เอมอุมางงจัด
“ผมชอบผู้หญิงใส่กระโปรงมากกว่า ดูสุภาพ ดูเซ็กซี่ อ่อนหวานน่ารักกว่าสวมกางเกงขายาว” เขาตอบแค่นั้น
“เอ้อ...คุณยังไม่ได้บอกว่าหน้าที่ของดิฉันต้องทำอะไรบ้าง” เอมอุมาไม่มีประสบการณ์ก็อยากรู้บ้างว่าต้องทำอะไรในหน้าที่เลขานุการของเธอ
“ผมยังไม่ได้บอกหรือ” เขาพูดแล้วก็หยุดนิ่งไป ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ผมเคยบอกแล้วว่าเลขาของผมต้องทำตามเงื่อนไขที่ผมเสนอไปและทำตามทุกอย่างที่ผมต้องการ และคุณก็ยอมรับแล้ว”
“เอ้อ...ใช่ค่ะ...แต่ควรมีรายละเอียดมากว่านี้” เอมอุมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง เธอรับรู้เงื่อนไขพิเศษของเขาว่า...คืออะไร...แต่หญิงสาวที่ไม่มีประสบการณ์อย่างเธอต้องการรู้รายละเอียดในการปฏิบัติตัวบ้าง