บทที่1│เจ้าป่าลายพาดกลอน (4)
“ให้เอาสิบครั้ง?”
พิลลาถลึงตาใส่ “จูบสิบครั้ง!”
เพราะเธอมั่นใจว่าหากต้องเจอเหตุการณ์พรากสติสัมปชัญญะแบบเมื่อครู่ถึงสิบครั้งสิบคราว ก็ใช่ว่าเธอจะรับมือได้อย่างสบายๆ
“ไม่ เอาครั้งเดียวพี่จูบได้จนปากเปื่อย สิบครั้งมันจะไปพออะไร”
สาวเจ้าลอบถอนลมหายใจ “จีบไม่ไหวหรอกค่ะ ไม่เคย”
“คนเรามีครั้งแรกเสมอ”
“อย่ามาปรัชญา มันไม่เหมาะกับคนเจ้าเล่ห์แบบพี่หรอก” เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ และเธอก็เหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว ตอนนี้เธอหลับตาเห็นแต่เตียง อยากกลับไปนอนให้เต็มอิ่มหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ฉะนั้นแล้วเธอจำเป็นต้องเด็ดขาดกับสาริน “จีบให้พี่จูบสิบครั้ง ถ้าพี่ไม่รับข้อเสนอ พี่จะไม่ได้อะไร และพี่ก็ต้องคืนเรไรด้วย เพราะพี่พูดแล้ว”
เป็นไปได้ยากที่คนอย่างเขาจะเสียเปรียบ แม้ปากจะขยับเพื่อตอบว่า “โอเค”
พิลลาหรี่ตาแคบ “ง่ายๆ งี้เลยอะนะ”
“ก็กลัวไม่ได้อะไรไง”
เธอไม่เชื่อลมปากของผู้ชายคนนี้ แต่ก็คร้านจะเซ้าซี้
“งั้นก็จูบเลย จะได้จบๆ”
“สิบวัน”
“คะ”
“นับจากนี้จีบต้องมาที่บ้านพี่อีกสิบวัน พี่จะจูบวันละครั้ง” ระหว่างพูด เขาก็ส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ “ไม่ต้องเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน คนเยอะ”
ไอ้พวกนั้นมองพิลลาตาไม่กะพริบ เขาไม่ชอบ
สารินเดินไปแถวๆ ชั้นวางโทรทัศน์ ก่อนจะกลับมาพร้อมกุญแจหนึ่งดอก “ไขเข้ามาทางหน้าบ้านได้เลย”
เธอก็ดันยื่นมือไปรับอย่างงงๆ เสียอย่างนั้น
“งั้นจีบกลับก่อน”
“เดี๋ยวไปส่ง” สิ่งแรกที่ทำคือการส่ายหน้า “จีบกินเบียร์ไปตั้งเยอะ พี่ไม่ปล่อยให้ขับรถเองหรอก เกิดไปแหกโค้งตายห่าก็อดจูบกันพอดี”
กรอบตาเรียวเล็กฉบับสาวหมวยมองไปยังผู้พูดอย่างไร้อารมณ์ “แช่ง”
“เป็นห่วงครับ”
เธอจึงรับข้อเสนอของชายหนุ่ม เพราะรู้สึกมึนหัวอยู่เหมือนกัน หากไม่ฉุนที่เขาพูดจนต้องปรี่ไปต่อย เธออาจหลับไปแล้วก็ได้ แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะไฟลุกหัวแท้ๆ ตอนนี้จึงยอมรับว่าร่างกายตัวเองมันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง จะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่แล้ว เกิดขี่มอเตอร์ไซค์เองคงได้ไปนอนกองที่รากมะม่วงเป็นแน่
“งั้นฝากเอารถเข้าบ้านด้วยค่ะ พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวให้พอใจมาเอา”
สารินพยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวไปทางหลังบ้าน โดยที่ปากก็ขยับเพื่อส่งเสียง “ไปรอหน้าบ้าน เดี๋ยวเอารองเท้าไปให้”
เธอจดจ้องไปยังแผ่นหลังแข็งแรงของอีกฝ่าย แล้วลากสายตามายังประตูหน้าบ้าน สาวเท้าเดินไปหยุดอยู่หลังบานไม้ แง้มดูแล้วไม่พบใครอยู่ด้านหน้า จึงได้พาตัวเองออกไป
ขามาเธอก็เดินอกผายไหล่ผึ่งโดยไม่คิดหลบสายตาใคร แต่พอจะไปดันเกิดอาการหน้าบาง ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตัวเองออกมาจากบ้านของสารินในเวลามืดค่ำเช่นนี้
ตั้งใจมาถลกหนังเสือแท้ๆ แต่กลับโดนเสือขย้ำจนหมดสภาพ ถ้าไม่ได้สายของพิรภพช่วยชีวิตไว้ ป่านนี้อีนมของเนื้อนมไข่ได้โดนผู้ชายสอยไปแล้ว
สารินเดินมาพร้อมรองเท้าหนึ่งคู่ ก่อนเธอจะสวมมันแล้วก้าวเดินตามเขาไปหยุดอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ของเจ้าตัว “นึกว่าจะขับรถยนต์ไป”
หลังตวัดขาคร่อมรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาเลิกคิ้วใส่ “แค่นี้เอง”
“เดี๋ยวคนเห็น”
“...”
“ไม่อยากให้คนเห็นว่าซ้อนท้ายพี่”
“อาย?”
“อือ”
สารินเพียงแค่นยิ้ม “ขึ้นรถ”
พิลลาทำตามคำสั่งด้วยใบหน้าบึ้งตึ้ง หากไม่ติดว่ามีแอลกอฮอล์ไหวเวียนอยู่ในร่างกาย เธอคงไม่ยอมไปกับเขาอย่างแน่นอน ก่อนที่ฝ่ามือบางจะถูกกระชากให้โอบรอบเอวสอบ จนความนุ่มหยุ่นของสองเต้างามชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างแรง
“โอ๊ย! มันเจ็บนะ”
“เดี๋ยวตก”
หัวคิ้วคนฟังย่นเข้าหากัน “ปล่อย”
นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว สารินยังขับขี่ยวดยานพาหนะด้วยมือขวาข้างเดียว ส่วนมือซ้ายยึดมือของเธอไว้
“อย่าดิ้น รถล้มเจ็บคู่นะ”
“ก็ปล่อยสิ”
เขาทำหูทวนลม บิดรถด้วยความเชื่องช้าที่สี่สิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเป็นตัวอำเภอ ถนนหนทางสว่างไสว ใครขับขี่ผ่านไปผ่านมาก็พอจะมองออกว่าคนที่ที่สวนกันนั้นเป็นใคร ยิ่งคนตัวใหญ่ขับด้วยความเร็วพี่น้องเต่าแบบนี้ด้วยแล้ว พิลลาจึงก้มหน้างุดไปกับหลังแกร่งเพื่อหาที่ซ่อนตัว
เธอว่าอาย ไม่อยากให้คนเห็น
เธอก็จะได้อายสมใจ
ความเร็วถูกชะลอจนคนตัวเล็กรู้สึกได้ว่ามันช้ากว่าเก่า จึงเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นหลังของชายหนุ่มร่างกำยำ เมื่อได้เห็นเต็มๆ ตาว่าสถานที่ตรงหน้าไม่ใช่บ้านของตน แต่เป็นร้านสเต๊กของเพื่อนสนิทอย่างมัทรี พิลลาก็เกินอาการจังงัง ก่อนตั้งสติได้ก็รีบมุดหน้ากลับเข้าที่เดิมอย่างลนลาน
“พาจีบไปส่งที่บ้านก่อน”
สารินยิ้มกริ่ม “พี่หิว”
“ค่อยกลับมากิน ไปส่งจีบก่อน”
“หิวมาก”
หญิงสาวดึงมือออกจากการจับกุม กำปั้นถูกทุบไปที่หลังหนั่นของชายหนุ่มอย่างไม่เต็มแรงนัก “เดี๋ยวเมลฟี่เห็น”
“ก็ให้เห็นไปดิ”
เธอเหลือบตามองเข้าไปในร้าน ลูกค้าหนาตาทีเดียว เจ้าของร้านอย่างมัทรีก็เดินเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า ทั้งยังมองมาทางนี้ด้วยความงุนงง เธอรีบดึงใบหน้ากลับมา
ร้องบอกสารินเสียงอ่อย “พี่เสือใหญ่ พาจีบไปส่งก่อนนะ นะคะ ไม่อยากให้เมลฟี่เห็น”
“แต่พี่หิว ต้องกินตอนนี้”
“ไหว้ละ พาออกไปก่อน”
รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พร้อมกับหัวใจที่เริ่มจะกลับมาเต้นในจังหวะปกติ หากไม่ติดที่ว่าเสียงอันคุ้นหูของเพื่อนสนิทดังไล่หลังตามมาเสียก่อน
“อีนม!”
กำปั้นจึงถูกทุบลงที่แผ่นหลังแกร่งอีกครั้ง
“เพราะพี่คนเดียว”
คนถูกประทุษร้ายด้วยเท้ามังคุดของแม่แมวเหมียวตัวนุ่มฟูได้แต่ระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดี ให้หลังไม่กี่นาทีก็มาถึงที่หมาย ทันทีที่ถึงบ้านของตน พิลลาก็ตวัดขาเพื่อลงไปยืนอยู่ที่พื้น ก้าวเดินด้วยจังหวะตึงตังคล้ายคนโมโห
ไม่คล้ายหรอก...
สารินรู้ดีว่าสาวหมวยหัวร้อนคนนี้อยากจะฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้นๆ ด้วยซ้ำ
“จีบ พี่หิว”
แต่เขามันกลัวใครเป็นเสียที่ไหนกัน
ขาเรียวชะงักค้างกลางอากาศ หมุนตัวไปชักสีหน้าใส่คนที่คร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ “ก็ไปกิน ใครปิดปากพี่ไว้หรือไง”
“อยากกินสเต๊ก”
“ก็ไป ไปได้แล้วไป๊”
“ถ้าไปเดี๋ยวเมลฟี่ถาม พี่อาจจะหลุดปากพูดเรื่องของเรา”
เป็นอีกครั้งที่เธออยากซัดหน้าหล่อๆ นั่น
“เรื่องของเราอะไร มันไม่มีอะไรสักหน่อย” พิลลาแสร้งทำเป็นไม่ยี่หระ “อย่ามาพูดคำว่าเรื่องของเราให้จีบได้ยินอีก จีบคือจีบ พี่คือพี่ ไม่มีคำว่า ‘เรา’ เข้าใจไหมคะพี่เสือใหญ่”
“ไม่เข้าใจครับน้องพุดจีบ”
เขาอ่านปากเธอได้ว่า ‘ไอ้-บัก-หำ’
ใครจะไปคิดว่าเต้าหู้ยี้จะด่าเก่งถึงเพียงนี้กัน
“กำแพงแสนมันมีร้านสเต๊กร้านเดียวตั้งแต่เมื่อไร”
“อยากอุดหนุนน้องเมลฟี่คนสวยน่ะ”
“ก็ไปอุดหนุนค่ะ แล้วพี่ก็แค่เงียบไว้ก็พอ”
ใบหน้าคมคายส่ายไปมาอย่างเชื่องช้า ในที่สุดขาตั้งก็ถูกใช้งาน ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยเพิ่งเข้าเลขสามที่หยัดยืนเต็มความสูง “เงียบไม่ได้ ปากมันว่าง”
สารินค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้หญิงสาว จนกระทั่งหยุดลงตรงหน้า กลิ่นกายหอมๆ ของชายหนุ่มปะทะเข้ากับจมูก พร้อมกับที่ความหอมยั่วยวนของสตรีลอยละลิ่วจนเขาเผลอสูดดม
“ถ้ามีอะไรปิดปาก อาจจะเงียบได้”
เธอคิดออกอยู่อย่างเดียว...ส้นตีน
ลมหายใจที่ผสมทั้งความระอาและเหนื่อยอ่อนถูกพรูออก ไหล่บางลู่ลงอย่างหมดปัญญาจะเถียง “ถ้าพี่บอกคนอื่น ทุกอย่างถือเป็นโมฆะ”
“ตอนแรกไม่เห็นบอกว่าต้องเป็นความลับ”
“แล้วจะต้องประกาศให้คนอื่นรู้เพื่อ พี่เป็นคนของสังคมตั้งแต่เมื่อไรคะ”
สารินยื่นมือมาเชยปลายคางมนให้เชิดขึ้น แต่คนถือดีก็ปัดออกในวินาทีถัดมา “เป็นคนของพุดจีบต่างหาก”
“ไม่ต้องมาเป็น ไป กลับบ้านไปได้แล้ว”
“หิวข้าว”
“...”
“ทำกับข้าวให้กินหน่อย อยากรู้ว่า ‘อร่อย’ หรือเปล่า”