บทที่1│เจ้าป่าลายพาดกลอน (5)
ในท้ายที่สุดก็ทนลูกตื้อไม่ไหว เดินนำเขาเข้าไปในบ้านที่สมาชิกทั้งสามยังปักหลักนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา ทันทีที่เห็นว่าเธอไม่ได้กลับมาคนเดียว ความประหลาดใจก็ฉายชัดบนใบหน้าของคนทั้งสามวัย ทว่าก็ยังยกมือมารับไหว้คนมาใหม่
เธอเปรย “เขามาขอข้าวกิน”
กัลยาหน้าเจื่อน “จีบลูก จะไปพูดแบบนั้นกับพี่เขาได้ไงล่ะ”
พิลลาไม่สนใจจะแก้ความเข้าใจผิดอะไร เพราะในมุมมองของเธอ สารินมาขอข้าวที่บ้านเธอทานจริงๆ ขาเรียวก้าวตรงไปยังห้องครัว สารินก็ค้อมหัวให้ญาติผู้ใหญ่ของหญิงสาวอย่างมีมารยาท
“ขอรบกวนสักมื้อนะครับ”
พ่อหนุ่มคนนี้จะคืนเรไรให้กับลูกชาย มารดาและหญิงชรามีหรือที่จะไม่ต้อนรับ
“ตามสบายเลยพ่อเสือ แต่กับข้าวหมดแล้ว บอกพุดจีบให้ทำให้นะ”
“ครับน้ายา”
เพราะเขาก็ตั้งใจมา ‘ชิม’ ฝีมือลูกสาวบ้านนี้อยู่พอดี
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะพุ่งตัวไปหาคนที่ตนนับถือเป็นพี่ชาย “พี่ พรุ่งนี้ผมไปเอาเรไรนะ”
“เออ เย็นๆ อะ มาได้เลย”
สารินก้าวเดินเข้าไปทางห้องครัว แต่พิรภพก็ยังเดินตามมาติดๆ “แล้วสรุปต้องจ่ายเท่าไรอะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ประโยคนั้นของสารินเรียกสายตาแม่ครั้วจำเป็นให้หันไปมอง “ผู้ใหญ่เขาคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
พิลลาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ “ออกไปอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มจึงหมุนตัวเดินออกไปทันทีที่สิ้นประโยค ทำให้ภายในห้องครัวเหลือเพียงเขาและเธอ “อยากกินอะไรคะ”
สารินยังไม่ตอบคำถามในทันที ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ด้านหลัง เงาสีดำพาดผ่านตัวพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชายหนุ่ม ฝ่ามือหนายันไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวโดยมีร่างระหงถูกกักอยู่ในอ้อมแขน โน้มศีรษะจนริมฝีปากอยู่ระนาบเดียวกับใบหู
“พุดจีบใช่ของกินไหมครับ”
“...”
“อยากกินพุดจีบ”
“กินได้ แต่กินแล้วตาย”
มือถูกดึงกลับมา เพียงแต่ดันมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบาง ดึงไปที่กลีบปากล่างอย่างหยอกเย้า “ผยองเหลือเกิน” สารินยอมผละออกอย่างง่ายดาย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นอีกระดับ “ทำไหวเหรอ ไม่เมา?”
“ไหวอยู่ จะกินอะไรก็บอก”
“เป็นคนใจดีเหมือนกันนี่” เธอเพียงหันไปมุ่นคิ้วใส่อีกฝ่าย “แค่อยากรู้ว่าถ้าหิวจริงๆ จะทำให้ไหม”
วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันหน้ายังมีโอกาสได้ชิมฝีมือเธออีก แต่วันนี้ดูเหมือนคนผยองควรได้พักผ่อนเสียมากกว่า
“จะบอกว่าพี่ไม่ได้หิว”
“อือ อิ่มแล้ว”
“แกล้ง?”
“เรียกว่าลองใจ”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” สายตาคาดโทษถูกส่งไปหาคนตัวใหญ่ “พี่แวะร้านเมลฟี่”
สารินยิ้มอย่างคนโดนรู้ทัน
“เห็นไหม จีบคิดอยู่แล้วว่าพี่แค่แกล้งกัน” ก่อนจะพยายามยุติบทสนทนา “ถ้าไม่หิวก็กลับบ้านไปเถอะค่ะ”
เขายอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก่อนไปก็มิวายกำชับ “พรุ่งนี้นะ”
“รู้!”
“ทุ่มสองทุ่ม มาตอนนั้น”
คล้อยหลังการไปของเขา พิลลาก็ไม่ลืมไปแจ้งข่าวให้น้องชายทราบว่าพรุ่งนี้ต้องออกจากบ้านพร้อมเธอ เพราะรถถูกจอดทิ้งไว้ที่บ้านของสาริน แน่นอนว่าคนอย่างพิรภพย่อมมีคำถาม แต่ในเมื่อพี่สาวไม่คิดจะอ้าปากตอบ ใครในบ้านก็ไม่กล้าง้างปาก
โดนด่าไม่คุ้มกัน
เกือบสามทุ่มกว่าที่พิลลาจะจัดการธุระของตนจนเสร็จสรรพ สมาร์ตโฟนมีแจ้งเตือนมากมายละลานตา แต่ที่เรียกความสนใจได้ดีที่สุดเห็นจะเป็น ‘เนื้อนมไข่ (3)’ ไลน์กลุ่มของแก๊งเพื่อนสาวร่วมสาบาน
คุณหนูเมลฟี่: อีนม อีช็อกการี
คุณหนูเมลฟี่: หล่อนไปซ้อนท้ายพี่เสือใหญ่สุดหล่อของฉันได้ไง
นางหูตาเป็นสับปะรดนี่ทันเห็นเธอจริงๆ ด้วย!
คุณหนูเนสต์: มีหยังกันสู
คุณหนูเมลฟี่: เมื่อกี้พี่เสือมาจอดหน้าร้าน มีผู้หญิงซ้อนท้ายด้วย
คุณหนูเนสต์: ใคร
คุณหนูเมลฟี่: ก็อีนมเพื่อนหล่อนไง
คุณหนูเนสต์: จำผิดหรือเปล่าหรอกพี่จะเทย อีนมมันไม่ได้สนิทอะไรกับพี่เขาเลยนะ
ในมุมมองของลัลนาเห็นเช่นนั้น แม้ว่าพิรภพจะชอบไปสิงอยู่บ้านโต๊ะสนุกเกอร์ แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับเจ้าของบ้าน ซ้ำยังไม่ค่อยชอบขี้หน้าฝ่ายชายด้วย
พิลลาบอกว่าบ้านของสารินเหมือนที่มั่วสุมของวัยรุ่น เลยไม่อยากให้น้องชายไป แต่พิรภพก็ดื้อแพ่ง พี่สาวหัวร้อนจึงบ่นให้เนื้อนมไข่ฟังอยู่บ่อยครั้ง
คุณหนูเมลฟี่: แหมอีเนื้อ เงามันฉันยังจำได้ เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนหอยเท่าฝาบ้าน มุดหลังเขาไปยังไงก็จำได้จ้า
คุณหนูเมลฟี่: มาแถ-ลง ด่วนๆ @คุณหนูพุดจีบ
คุณหนูเมลฟี่: หล่อนกล้าดียังไงมาแย่งผัวเพื่อน หา นางคนไม่มีคิ้ว
คุณหนูเนสต์: อูย พี่จะเทยวีนฉ่ำ
พิลลาพรูลมหายใจยาวเหยียด ปิดไฟจนห้องทั้งห้องมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากมือถือที่เปิดหน้าห้องแชตของเพื่อนสนิททั้งสองไว้เท่านั้น แล้วจึงพาร่างอันอ่อนแรงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
เนื้อนมไข่ เป็นการรวมตัวของหนึ่งพี่กะเทยและสองสาวต่างขั้ว
คุณหนูเมลฟี่ แต่ก่อนชื่อ เมิร์ช เมธัส แต่โตมาเป็น เมลฟี่ มัทรี ใครเรียกชื่อเก่าให้ได้ยิน เลือดหัวมีอันกระเด็น ปัจจุบันมีธุรกิจส่วนตัวคือเปิดร้านสเต๊ก นักเรียนนักศึกษาตบเท้ามาเป็นลูกค้ากันไม่ขาดสาย เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วราคายังจับต้องได้
ส่วน ‘พี่เสือใหญ่สุดหล่อของฉัน’ ใครหล่อก็เป็นผัวแม่นี่หมด
คุณหนูเนสต์ สาวตาคม ผมยาวถึงกลางหลัง ทรวดทรงองเอวดั่งนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน ความสวยที่มาพร้อมความโฉบเฉี่ยว เปิดห้องเสื้ออยู่ในตัวเมือง การแต่งตัวระดับพริกสิบเม็ด แต่ฝีปากสู้ใครเขาไม่ได้
เผ็ดแต่เปลือก เนื้อในหวานยิ่งกว่าน้ำเชื่อม
คุณหนูพุดจีบ: พูดเรื่องอะไรกัน งง
หลักการการเอาตัวรอดฉบับอีนม หากทำผิดอย่าให้อีกฝ่ายรู้ หากรู้ก็อย่าให้เห็น หากเห็นก็อย่ายอมรับ หากต้องยอมรับให้รับกึ่งหนึ่งเท่านั้น
คุณหนูเมลฟี่: สีข้างถลอกจ้ะ
คุณหนูพุดจีบ: ก็ไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรจริงๆ นี่ ฉันนอนอยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน
คุณหนูเมลฟี่: จะสารภาพดีๆ หรือสารภาพด้วยน้ำตา
คุณหนูเมลฟี่: ถ้าง้างปากหล่อนไม่ได้ เห็นทีคงต้องง้างปากสุดหล่อ
คุณหนูเนสต์: เอาแหล่ว มีเรื่องแหล่ว
พิลลากำหมัดแน่น เพราะรู้ว่ามัทรีกล้าไปถามสารินแน่ๆ และดูทรงแล้วไอ้ฝ่ายโน้นก็คงกระเหี้ยนกระหือรือจะพูดเสียเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไร ‘อีไข่’ ก็กัดเธอไม่ปล่อย
แต่จะให้พูดทั้งหมดก็ปากหนัก
คุณหนูพุดจีบ: ติดรถเขากลับบ้านเฉยๆ จ้ะแม่จ๋า
คุณหนูเมลฟี่: นั่น เห็นไหม แล้วมาตีมึน หัดหวานกับเพื่อนเป็นตั้งแต่เมื่อไร
คุณหนูเนสต์: ทำไมต้องกลับกับเขา พิลลี่เป็นอะไร
คุณหนูพุดจีบ: พิลลี่สบายดี แต่มอ’ไซค์พอใจมันสตาร์ทไม่ติดน่ะ เรื่องทั้งหมดก็แค่นี้ นอนแล้วนะ
สองสาวยังคงกระหน่ำส่งข้อความมาในเนื้อนมไข่ไม่หยุด แม้ว่าเธอจะไม่สนใจจะเปิดอ่านแล้วก็ตาม เพราะไม่มีอะไรนอกเหนือจากการจิกเปียของมัทรี โดยมีลัลนาเป็นลูกรับ และเธอที่ตกเป็นเหยื่อของคนทั้งสอง
ที่ไม่สวนเพราะมีชนักติดหลัง และพิลลาก็ขี้เกียจพิมพ์ด้วย ไหนยังรู้สึกเพลียจนจะหลับอยู่รอมร่อ
แต่จะหลับก็หลับได้ไม่เต็มตา ในเมื่อหน้าจอปรากฏชื่อของ ‘Sarin Asawakamol’ เพิ่มเพื่อนมาในเฟซบุ๊ก ทั้งยังส่งข้อความมาด้วย
Sarin Asawakamol: ฝันดีนะครับน้องพุดจูบ
Sarin Asawakamol: *พุดจีบ
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
ยังไม่ได้รีไรท์ อาจเจอคำผิดบ้าง จอยี่ๆ