บทที่ 4 นิรันดร์ & อธิป (1)
บ้านของนพรุจ
"ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่าคิดว่ามึงจะได้อยู่อย่างสงบเลย" นพรุจที่กำลังโมโหเพราะสิ่งที่เข้าไปคุยกับหลานชายที่กุมบังเหียนอยู่ไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวเองหวังทำให้ชวดเงินสิบล้านที่ดิลกเสนอมา
"ป๊าทำไมเราต้องไปยอมมันถึงขนาดนี้ด้วย" นิติพัฒน์ลูกชายเพียงคนเดียวถามขึ้น
"แล้วแกคิดว่าฉันอยากจะยอมมันหรือยังไงเดี๋ยวฉันจะไปคุณกับไอ้เล็กส่วนแกก็คอยไปเอาใจอาเล็กของแกด้วย" นพรุจตะคอก
"โธ่ไม่ต้องห่วงหรอกยังไงอาเล็กก็ต้องยกสมบัติให้ผมอยู่แล้วหรอกน่ายังไงเสียผมก็หลานรักของอาเล็ก" นิติพัฒน์พูดด้วยอย่างมั่นใจ
"แกอย่าประมาทเกินไปไม่อย่างนั้นสิ่งที่แกคิดไว้มันจะไม่ได้ซะ แล้วเรื่องเที่ยวก็เพลา ๆ ลงบ้าง เดือนนี้ยอดบัตรแกพุ่งมากกว่าเดือนที่แล้วอีก" นพรุจเตือนลูกชายที่ไม่เอาไหนของตัวเอง
"เอ่อ..พอดีผมเพิ่งคิดออกว่ามีธุระผมขอตัวก่อนนะครับ" นิติพัฒน์รีบชิ่งออกทันทีที่พ่อพูดเรื่องการใช้เงิน นพรุจได้แต่ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของลูกชายเพียงคนเดียวก่อนจะต่อสายหาน้องชายนัดคุยเรื่องสำคัญ
ส่วนนิติพัฒน์ที่ขับรถหรูที่เพิ่งถอยออกมาก็ตรงไปที่ผับเที่ยวเล่นตามปกติ นิติพัฒน์เป็นเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวขนาดเรียนจบมาแล้วยังไม่คิดจะทำงานมีแต่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไปวัน ๆ ทั้งยังถูกตามใจจากผู้เป็นอาทำให้ตัวเองคิดว่ายังไงเสียทรัพย์สมบัติของเล็กนั้นก็ต้องตกเป็นของตัวเองจากการปลูกฝังแบบผิด ๆ ของทั้งพ่อและแม่ที่ให้เพียรไปประจบเอาใจคนเป็นอาเล็กของตัวเองและสิ่งที่ทำให้นิติพัฒน์มั่นใจว่ายังไงอาเล็กก็ต้องยกสมบัติให้นั่นก็คือคำพูดของอาเล็กที่เคยบอกว่าจะมอบสมบัติหากว่าตนเองเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ทำให้เขารักและเชื่อฟังอาเล็กมาตลอดและสิ่งที่ได้รับก็ได้ผลดีเกินคาดและรถคันใหม่นี้อาเล็กก็เพิ่งถอยให้เพียงแค่พูดว่าคันเก่าเกเรแถมตกรุ่น รุ่งเช้าก็ได้รับเงินก้อนโตไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครหลังจากนั้นรถหรูคันใหม่ก็ได้มาอยู่ในมือ
คฤหาสน์อครวรางกูล
"นายครับคุณนิรันดร์มาครับ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับแขก เอ่อ..แล้วก็มีแขกมาพร้อมกับคุณนิรันดร์ด้วยครับ" เซนที่เดินขึ้นมาตามเจ้านายที่กำลังนั่งกำลังจิบวิสกี้และมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นมุมโปรดที่เจ้านายชอบนั่งและดูเหมือนว่าสายตาจะยังคงโฟกัสไปยังจุดเดียวที่เป็นสวนแคคตัสในเรือนกระจกที่มีคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในนั้น
"อืม" นคินทร์ที่กำลังมองจุดเล็ก ๆ ในเรือนกระจกก็วางแก้ววิสกี้ที่ใกล้จะหมดลงก่อนจะลุกออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังห้องนั่งเล่น
"สวัสดีครับอาเล็ก" นคินทร์ยกมือไหว้คนเป็นอาพร้อมกับปรายตามองคนที่นั่งข้าง ๆ เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหวานที่กำลังพูดคุยอย่างมีชีวิตชีวากับอาเล็กหันมามองที่เขาด้วยรอยยิ้มหวาน
"อ่าวมาแล้วเหรอ มานั่งตรงนี้สินั่งข้าง ๆ น้อง" นิรันดร์กวักมือเรียกหลานชายให้มานั่งข้าง ๆ ข้างชายหนุ่มหน้าตาดีก่อนจะแนะนำตัว
"นี่พี่นคินทร์หลานน้าเองครับ คินทร์นี่ลูกชายเพื่อนอาชื่อน้องนาราเพิ่งบินกลับมาจากต่างประเทศ"
"สวัสดีครับพี่นคินทร์" เด็กหนุ่มยกมือไหว้คนแก่กว่าด้วยนครินทร์ด้วยรอยยิ้มแก้มแดงระเรื่อขณะที่นคินทร์ยิ้มตอบรับตามมารยาท
"สวัสดีครับ"
"คือที่อามาวันนี้ก็มีเรื่องรบกวน อาอยากฝากน้องเข้าทำงานที่บริษัทนคินทร์ได้รึเปล่า ตำแหน่งเลขายังว่างอยู่ใช่มั้ยอาเห็นว่าเราไม่ได้รับคนมาทำงานตำแหน่งนี้นานแล้วนะ" นิรันดร์เสนอหลานชายพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
"ตำแหน่งเลขาเหรอครับ ผมไม่ได้รับตำแหน่งนี้มานานแล้วครับผมมีคนที่ทำงานให้อยู่แล้วเลยคิดว่าจะไม่รับเพิ่ม" เสียงทุ้มตอบคนเป็นอา
"อนณเหรอ"
"ครับ"
"เฮ้อคินทร์นี่น้าใช้งานลูกน้องอย่างกับเป็นทาสเลย เจ้านณมันก็อายุแค่นี้หลานก็เอามาผูกกับชีวิตหลานจนคนเขาไม่มีชีวิตเป็นส่วนตัวแล้วมั้ง ช่างน่าสงสารเสียจริงเด็กคนนี้" นิรันดร์พูดด้วยความเห็นใจคนที่ถูกใช้ให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส
"มันก็สมควรที่มันจะต้องเจอแล้วนี่ครับ" เสียงตอบกลับเอื่อย ๆ แต่กลับทำให้คนฟังลอบยิ้มด้วยความพอใจ
"เอาน่าคินทร์เรื่องราวมันก็ผ่านมานานแล้ว อาเห็นคินทร์ใช้งานเค้าหนักขนาดนั้นก็อดสงสารไม่ได้" เสียงตอบกลับหลานรักอย่างอ่อนโยนแฝงไปด้วยความสงสารที่ส่งผ่านไปยังผู้ชายคนนั้น
"แต่เรื่องนี้อาก็ไม่ได้อยากจะออกความเห็นอะไรมันเป็นสิทธิ์ของคินทร์ เพราะอันที่จริงพ่อของเด็กคนนั้นก็ทำเรื่องหนักหนาสาหัสจริงเป็นอา อาก็ไม่ลืมว่าใครเป็นคนที่ทำให้พี่ชายของอาต้องตายไป" นิรันดร์พูดถึงสิ่งที่ผ่านมาเพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงตัวตนของอนณลูกชายของอดีตหัวหน้าบอดี้การ์ด เพราะเกรงว่าเวลาที่ผ่านมาจะทำให้หลานชายลืมเลือนว่าใครเป็นคนทำให้พ่อของตัวเองตาย เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่ แต่ไม่เป็นไรถ้าหากว่าลืมเขานี่แหละจะเป็นคนคอยย้ำเตือนเรื่องนี้เองและนั่นคือความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจของผู้เป็นอา
นิรันดร์จับสีหน้าท่าทางของหลานชายที่พอได้ฟังสิ่งที่ตัวเองคิดก็ด้วยใบหน้าฉายแววพึงใจเพราะคนที่นั่งสงบนิ่งจนมองอารมณ์ไม่ออกนั้นเขารู้ว่าที่จริงแล้วกำลังคิดตามสิ่งที่เขาพูด
"อ่ะ เอาเป็นว่าอาฝากน้องทำงานด้วยนะครับ ส่วนตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่หลานเลยอาไม่ยุ่งยังไงน้องก็ทำได้หมด ใช่ไหมครับนารา"
"เอ่อ..ครับคุณน้านาราทำได้ทุกอย่างครับ" นาราที่มัวแต่มองใบหน้าของเจ้าของบ้านก็แทบจะละสายตาไปไหนไม่ได้เลยเพราะคนตรงหน้านั้นหล่อเหล่าและถูกใจตัวเองเป็นที่สุด
"ดีครับถ้าอย่างนั้นเราไปทานข้าวกันดีกว่า อาไปรอที่โต๊ะนะ" นิรันดร์ลุกขึ้นจับมือคนที่พามาด้วยเดินนำออกมาก่อนจะกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน
"เป็นยังไงครับชอบหลานน้าเข้าแล้วใช่มั้ย เห็นไหมล่ะน้าบอกแล้วว่านาราต้องชอบแล้วหวังว่าเรื่องที่เราตกลงกันไว้นาราจะไม่ทำให้น้าผิดหวังนะ" นิรันดร์เอ่ยกับคนเด็กกว่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไม่วายเอ่ยย้ำสิ่งที่ตกลงกันก่อนที่จะพานาราเข้ามาส่วนเด็กหนุ่มที่ได้ยินก็ทำท่าขัดเขิน
"ครับคุณน้าไว้ใจนาราได้เลย"
"ดีมากครับ" นิรันดร์ลูบผมว่าที่หลานสะใภ้ยกยิ้มนัยน์ตาสีดำเปล่งประกายระยับแฝงแววเจ้าเล่ห์ที่ไม่มีใครได้เห็น
ไอ้นพรุจมึงคิดเหรอว่ามึงจะเอาอีผู้หญิงคนนั้นมาจับไอ้นคินทร์ได้ รู้ทั้งรู้ว่าไอ้นคินทร์มันเชื่อฟังใครมากที่สุด
หึ! ยังไงไอ้เด็กนี่ก็ไม่มีวันฉลาดไปกว่าอาอย่างเขา สมแล้วที่เขารอคอยมาอย่างยาวนานทีนี้แหละสิ่งที่มึงมีจะตกเป็นของกูจนหมด
ไอ้นพดล!!
โต๊ะอาหาร
"ตกลงเรื่องงานอาฝากน้องด้วยนะครับ" นิรันดร์มัดมือชกหลานชายยังไงเสียเจ้าตัวก็ไม่มีทางปฏิเสธเขาอย่างแน่นอน
"ครับ ให้เริ่มงานวันจันทร์นี้ก็แล้วกัน" นคินทร์ตอบรับอย่างคนที่ไม่เคยขัดใจอะไรผู้เป็นอา
"จริงเหรอครับ พี่คินทร์จะรับนาราเข้าทำงานจริง ๆ ใช่มั้ยครับเย้ดีใจจังนาราจะได้ทำงานแล้ว" เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยสดใสหันไปมองคนแก่กว่าส่งรอยยิ้มที่รู้กันสองคน
นคินทร์พยักหน้าเล็กน้อยตอบรับคนเด็กกว่าก่อนจะนั่งทานข้าวฟังทั้งสองคนพูดคุยบางครั้งเขาก็ตอบบ้างหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา หลังจบมื้ออาหารนคินทร์ก็เดินมาส่งผู้เป็นอาขึ้นรถพร้อมกับเด็กหนุ่มที่อาฝากฝังงานให้ทำที่บริษัท
...
บ้านนิรันดร์
"เป็นยังไงบ้างครับทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ" เสียงเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้หลังจากเห็นว่าใครเดินเข้ามาในบ้าน พอนิรันดร์เห็นว่าใครมายืนรอรับก็ยิ้มกว้างส่งไปให้ นิรันดร์เดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ด้วยความรีบร้อนหย่อยลนก้นนั่งลงข้าง ๆ จนแทบจะเกยตักตอบกลับคนตรงหน้าด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
"มีหรือจะไม่สำเร็จระดับรันดร์ลงมือเสียอย่าง"
"เก่งจังครับ" เสียงชื่นชมพร้อมกับร่างหนาสวมกอดกดจมูกไปที่แก้มของเจ้าของบ้านเสียงดังฟอดใหญ่
ฟอดด "ชื่นใจจังครบ"
"หึ! แล้ววันนี้มาได้ยังไงเมียที่บ้านไม่อยู่เหรอ" น้ำเสียงนิรันดร์แฝงไปด้วยความน้อยใจจนคนที่สวมกอดแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะพูดปะเหลาะเอาใจ
"ใครว่าเมียผมก็อยู่ตรงนี้ยังไงครับ"
"เหรอครับ เห็นพูดแบบนี้มาหลายปีแล้วนะ" นิรันดร์พูดแย้งน้ำเสียงแง่งอนใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย
"ไม่เอาน่าผมบอกคุณแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่คนที่แม่ผมอยากให้แต่งผมก็แต่งแค่นั้นดูสิครับตอนนี้ผมก็อยู่กับคุณ"
"แต่เราก็ยังอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน" น้ำเสียงที่ฟังคล้ายจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ทำให้คนได้ยินชะงักมือหนาลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมกอดป้อนคำหวานออดอ้อนเอาใจ
"แต่รันก็รู้ว่าพี่รักรันคนเดียวถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นโอนทรัพย์สมบัติมาให้พี่หมดแล้วพี่ก็จะหย่าทันที ว่าแต่ไอ้หลานของรันเถอะเมื่อไรรันจะจัดการมันสักที"
"ไม่นานหรอก ตอนนี้เหยื่อกำลังติดกับแล้ว" นิรันดร์พูดด้วยน้ำเสียงติดเหี้ยมผิดจากก่อนหน้าจนเหมือนกับคนละคนส่วนคนที่ได้ฟังก็ยิ้มอย่างยินดี "ดีครับถ้าเสร็จเรื่องนี้เราไปอยู่ต่างประเทศกันดีไหม พี่อยากใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่กับรัน"
"แล้วใครจะบริหารงานละครับถ้ารันได้ทั้งหมดมาแล้ว"
"เราก็ขายทอดตลาดเอาเงินมาเก็บไว้สิครับ รันลองคิดดูทั้งเงินที่ควรตกเป็นของรันและเงินที่พี่จะได้จากผู้หญิงคนนั้นรวมกันมันมากพอที่เราจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนทั้งชาติเลยนะครับ ไม่เห็นต้องมามัวทำงานให้เหนื่อยเลยนี่ครับ"
"อืม..มันก็จริง" นิรันดร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
"แต่ว่าตอนนี้พี่ขอกอดรันหน่อยนะครับเอาให้สมกับความคิดถึง" เสียงทุ้มแหบพร่าของชายที่เพิ่งเข้าสู่ชายวัยกลางคนแต่ยังคงมีหน้าตาหล่อเหลาทำเอานิรันดร์หลงเคลิ้ม
"ครับรันก็คิดถึงพี่จะแย่" พูดจบก็ยื่นมือไปจับใบหน้าของคนตรงหน้ารั้งเข้ามาใกล้ก่อนจะเป็นฝ่ายประกบจูบอย่างดูดดื่ม
วันนี้แผนการที่วางไว้สำเร็จไปอีกขั้นและคนที่ตัวเองรักมากมาหาได้จังหวะพอดีมีหรือที่นิรันดร์จะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปกลายเป็นว่าตอนนี้สองหนุ่มใหญ่นั้นกำลังระเริงรักกันอย่างไม่สนใจความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
อธิปหนุ่มใหญ่ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายคนโตที่นิรันดร์เกลียดชังและเป็นคนวางแผนการร่วมกันกับนิรันดร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งสองคนแอบคบกันเงียบ ๆ เพราะว่าอธิปเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นคนที่ไม่มีฐานะถึงจะเป็นทนายแต่ก็ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมมากนักเพราะไม่ได้เก่งกาจทำให้เป็นเพียงทนายปลายแถวเท่านั้นและที่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นก็เพราะฐานะของผู้หญิงคนนั้นแถมพ่อของเธอยังเป็นเพื่อนกับแม่ของเขาทำให้การแต่งงานเหมือนเป็นการถูกคลุมถุงชน แต่อธิปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นรักเขามากขนาดไหนและเพียงแค่เขาเอาใจแสดงความรักตอบเธอก็ยิ่งตอบแทนความรักเขามากมายทั้งเงินสดทั้งที่ดินที่เธอมีอยู่ในมือเริ่มถูกเปลี่ยนมือมาที่เขาโดยที่เขาเองก็เพียงแค่พูดน้อยใจโชคชะตาเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องความไม่เหมาะสมที่คนอื่นชอบเอามาพูดค่อนแคะว่าเขามาเกาะผู้หญิงกิน หลังจากนั้นเงินในบัญชีหุ้นในมือที่มีเพียงหยิบมือในบริษัทของเธอก็ถูกถ่ายโอนมาที่เขาเกือบครึ่งจนตอนนี้ก็ได้รับเงินปันผลแบบเสือนอนกินโดยไม่ต้องออกแรงมาก
ส่วนนิรันดร์เพียงแค่พูดยุยงส่งเสริมอย่างที่เคยทำเท่านั้น อีกไม่นานของที่เคยเป็นของไอ้นพดลมันก็ต้องตกมาเป็นของนิรันดร์และคนที่ได้รับผลประโยชน์จากนิรันดร์ก็ไม่ใช่ใครถ้าไม่ใช่อธิปคนนี้
ไอ้นพดลขนาดมึงตายไปยังคงความเกลียดชังให้น้องมึงขนาดนี้อย่าโทษใครเลยนอกจากมึงกับพ่อของมึง ถึงเวลานั้นเมื่อไรของที่เคยเป็นทรัพย์สมบัติของมึงกูจะเอามาเป็นของกูให้หมด
ให้สมกับความใจจืดใจดำของมึง