บทที่ 3 สาเหตุของรอยยิ้มที่หายไป (3)
คำพูดเดิม ๆ พูดออกไปตามหน้าที่ ภีมที่ถูกเตรียมพร้อมจนช่องทางรักไหลลื่นก็เดินอ้อมโต๊ะทำงานไปยังร่างสูงที่กำลังหมุนเก้าอี้ออกเพื่อรอรับการปรนเปรอจากนายบำเรอ
ภีมนั่งลงตรงหว่างขาเจ้านายจัดการรูดซิปกางเกงแล้วควักเอาท่อนเนื้อขนาดใหญ่ออกมา ปากเล็กอ้าออกครอบท่อนลำแกร่งศีรษะเล็กผงกขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะด้วยต้องการอยากเร้าอารมณ์ผู้เป็นเจ้านาย เลยไม่เห็นถึงสายตาคมกริบของเจ้านายที่มองไปยังร่างโปร่งของหัวหน้าบอดี้การ์ดที่กำลังถอดถุงมือยางทิ้งในถังขยะ
อนณจัดการดึงถุงมือยางที่ใช้แล้วทิ้งลงถังแล้วเดินมาที่โต๊ะทำงาน มือขาวจัดการกับเอกสารที่วางกางบนโต๊ะเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อให้ห่างไกลจากกิจกรรมซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายและเตรียมถอยหลังกลับ
แต่ยังไม่ทันจะเดินออกมือที่คีบบุหรี่ก็ยื่นมาตรงหน้า อนณมองบุหรี่ในมือใหญ่ก่อนจะโค้งศีรษะลงเป็นการขอบคุณแล้วหยิบบุหรี่ที่ถูกสูบไปเพียงเล็กน้อยคีบเข้าปาก เขาเดินคาบบุหรี่ตรงมายังหน้ากระจกใสยืนหันหลังให้กิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลามองไปยังวิวด้านนอก อนณอัดบุหรี่เต็มปอดก่อนจะพ่นควันจาง ๆ ออกมา ความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันถูกเจือจางด้วยฤทธิ์ของสารนิโคติน เหมือนว่าเจ้าของบุหรี่จะรู้ว่าอะไรที่ช่วยให้เขาหายจากความเครียดได้
เสียงกิจกรรมเข้าจังหวะดำเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงขีดสุดจนอนณที่ยืนหันหลังได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันสนั่นหูไม่นานนักก็เหลือเพียงเสียงหอบหายใจแรงของทั้งสองคน อนณหันหลังกลับเตรียมหยิบกระดาษทิชชู ร่างโปร่งของนายบำเรอถอนตัวเองออกจากท่อนลำแกร่งที่เพิ่งถูกปลดปล่อยออกมาเต็มถุงยางก่อนจะรูดออกนำไปทิ้งลงถังขยะรวมกับของตัวเอง แล้วจัดการสวมเสื้อผ้ากลับเหมือนเดิมไม่ลืมส่งยิ้มให้เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ที่นั่งนิ่งปรับจังหวะหายใจ ไม่มีคำพูดใด ๆ ระหว่างกิจกรรมที่เกิดขึ้นแต่ภีมก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเขาทำทุกอย่างเพื่อเงินอย่างเดียวอยู่แล้วแต่ก็อดนึกดีใจไม่ได้ที่ตัวเองอดทนอดกลั้นจนคุณนคนิทร์ได้ปลดปล่อยออกมาเต็มที่โดนไม่ถูกเจ้าตัวโมโหใส่ไปเสียก่อน
และภีมยังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะได้เลื่อนขั้นมาเป็นนายบำเรอเบอร์หนึ่งแทนคนที่เพิ่งกระเด็นออกไปเพราะเท่ากับว่าเขานั้นจะได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มยิ่งกว่า
งานที่ภีมรับไม่ได้เป็นงานที่ยากเพราะภีมเองก็ชอบในความสบายหลังจากมีคนมาติดต่อขอให้เป็นนายบำเรอเขาตกลงอย่างไม่ลังเล ถึงเงื่อนไขจะแปลกแตกต่างจากที่เคยได้ถูกรับเลี้ยงมาแต่ก็ไม่ถึงกับต้องรีบปฏิเสธ หลังได้อ่านเอกสารที่ปรากฏรายละเอียดของหน้าที่นายบำเรอของเจ้าของธุรกิจหนุ่มหล่อที่รวยระดับประเทศไม่มีเงื่อนไขไหนที่เขาทำไม่ได้ และก็ไม่เคยเอ่ยถามความสงสัยถึงเงื่อนไขแปลก ๆ อย่างเช่นข้อสุดท้ายที่ระบุในเอกสารที่ทุกคนต้องยอมรับและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ต้องให้หัวหน้าบอดี้การ์ดเป็นผู้เตรียมความพร้อมในการทำหน้าที่และอยู่ด้วยจนกว่าจะทำหน้าที่เสร็จ ถึงจะแปลกแต่ภีมตกลงเซนต์เอกสารสัญญาทันทีที่อ่านจบและส่งคืนให้หนุ่มหล่อในสูทสีดำสนิทที่เป็นคนมาติดต่อพร้อมกับอธิบายในส่วนที่มีคำถามที่สามารถตอบได้และเป็นรายละเอียดที่ชัดเจนสำหรับภีมที่ควรรู้ ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออกทันที
ห้ามแตะต้องตัวเจ้านายเกินความจำเป็น
ไม่มีการเล้าโลม ห้ามทิ้งรอย ห้ามสัมผัสจุดอื่น ห้ามส่งเสียงครางให้ระคายหูและที่สำคัญคือห้ามจูบ!!
ซึ่งครั้งแรกที่ภีมต้องทำหน้าที่เขาเพิ่งรู้ว่าหนุ่มหล่อที่เอาเอกสารไปให้เซนต์นั้นคือหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ต้องทำหน้าที่เตรียมความพร้อม ภีมยอมรับตรง ๆว่าเขาชอบมากและรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับนิ้วของคุณอนณทุกครั้ง แต่พอได้เห็นตัวจริงของคนที่เขาต้องบำเรอกามก็ทำเอาภีมตะลึงไม่น้อยถึงเคยผ่านตามาบ้างกับนักธุรกิจหนุ่ มที่มีธุรกิจสีเทาในมือมากมาย
เพราะเคยเห็นบ้างตามข่าวหน้าหนังสือพิม์หรือทางโซเชียลมีเดียแต่ไม่คิดเลยว่าตัวจริงจะดูดีมากกว่าที่เห็นในรูปหรือตามช่องทางโซเชียลหลายเท่านักแต่ภีมถูกเจ้าของร่างแกร่งเห็นตัวเองเป็นเพียงเครื่องปลดเปลื้องอารมณ์เพียงเท่านั้น รอยยิ้มที่ถูกส่งไปถูกมองด้วยสายตารำคาญทุกครั้งแต่ถึงอย่างนั้นภีมก็ยังมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าทุกอยู่ตลอดเผื่อว่าสักวันหนึ่งหินแกร่งอย่างคุณนคินทร์จะยอมโอนอ่อนขึ้นมาบ้าง
ติ๊ง! ภีมที่นั่งอยู่บนรถที่กำลังจะไปส่งที่คอนโดถึงกับยิ้มกว้างกับยอดตัวเลขที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เห็นมั้ย! เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ขาดตกบกพร่องยอดเงินในบัญชีก็เพิ่มพูนจนตอนนี้กระเป๋าเริ่มสั่น ดวงตากลมแวววาวด้วยความชอบใจ
การช็อปปิ้งเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังจากภีมออกไปจากห้องอนณก็จัดการทำความสะอาดท่อนลำที่ยังมีสิ่งปนเปื้อนตกค้าง มือบางจัดการเช็ดทำความสะอาดด้วยใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ที่คนทำให้คนที่มองมานั้นเกิดความหงุดหงิดไม่ชอบใจทุกครั้ง แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อเป็นเขาเองที่เป็นคนสร้างใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าให้กลายเป็นคนสีหน้าเดียวไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก
นคินทร์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นรอยยิ้มที่แท้จริงบนใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ตอนที่อนณอายุได้สิบเจ็ดปีเป็นตอนที่เจ้าตัวสอบได้ที่หนึ่งของห้องแล้ววิ่งเอากระดาษผลสอบที่สอบได้คะแนนสูงมาให้เขาดูก่อนจะที่เขาจะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ใบหน้าสวยรอยยิ้มอันเจิดจ้าของอนณงดงามเกินกว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย ยิ่งลักยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ายิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้นมองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
วันนั้นดวงตากลมโตของเด็กน้อยมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง รอคอยคำชมอย่างใจจดใจจ่อ นคินทร์ในตอนนั้นไม่อาจต้านทานความดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความหวังนั้นได้เลยนอกจากจะชมถึงความเก่งกาจของเจ้าตัว มือของเขาเอื้อมไปลูบผมของอนณอย่างเอ็นดู ทำให้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของเด็กน้อย และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นคินทร์ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงาม
หนึ่งปีถัดมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเหลือทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดของทั้งสองคน อนณไม่เคยเผยสีหน้าใด ๆ ออกมาเลยสักครั้งหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
คำพูดที่เขายังจำได้ดีเหมือนกับว่าเพิ่งพูดออกไปเมื่อวานนี้
'ต่อไปนี้มึงคือหมารับใช้ของกู!'
'เป็นหมารับใช้แทนพ่อมึงที่ทรยศพ่อของกู!'
'อย่าให้กูเห็นว่ามึงมีความสุข!! อย่าให้กูเห็นรอยยิ้มของมึง!!'
'ไม่อย่างนั้นคนที่มึงรักที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวจะไม่มีโอกาสได้หายใจ'
นคินทร์ขบกรามแน่นเมื่อนึกไปถึงครั้งนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตามอนณก็ยังเป็นลูกชายของคนทรยศที่ฆ่าพ่อของเขา เขามองใบหน้าที่เรียบเฉยปัดมือที่กำลังทำความสะอาดส่วนที่เร้นลับก่อนจะรูดซิปกางเกงแล้วพูดขึ้น
"หมดหน้าที่ของมึงแล้ว ออกไป!" เสียงสั่งการตอกย้ำการกระทำชัดเจนว่าสิ่งที่อนณนั้นต้องทำก็คือหน้าที่อย่างหนึ่ง
"ครับ"
อนณตอบรับคำสั่งหลังจากฉีดพ่นสเปรย์ระงับกลิ่นเพื่อดับกลิ่นคาวที่ค้างอยู่ในอากาศแต่ยังไม่ทันที่จะเดินออกไปก็ถูกคนด้านเปิดประตูเข้ามาโดยพลการเสียก่อนโดยมีเซนที่เดินตามเข้ามาด้วยความรวดเร็วเพราะรู้ตัวว่าทำงานพลาดที่ไม่สามารถห้ามคนที่เข้ามาได้
"ขอโทษครับนาย" เซนโค้งตัวยอมรับผิดเพียงชั่วเวลาที่เขาไปเข้าห้องน้ำทำให้ไม่ได้อยู่หน้าห้องเหลือไว้เพียงบอดี้การ์ดอีกคนซึ่งไม่สามารถรับหน้าคนตรงหน้านี้ได้ทำให้ห้องทำงานถูกบุกรุกเข้ามาได้ง่าย
นคินทร์มองคนสนิทด้วยท่าทางสงบแต่ทุกคนรู้ดีว่าเจ้านายนั้นกำลังหงุดหงิดก่อนจะได้รับอนุญาตให้ออกไปจากห้องเหลือเพียงนคินทร์อนณกับผู้ที่มาใหม่
"แหมหลานชายอาเพียงมาเยี่ยมเยียนตามประสาครอบครัวเท่านั้นเองไม่เห็นต้องนัดแนะอะไรเลยนิ ทำอย่างกับอาเป็นคนนอกไปได้" นพรุจกล่าวอย่างสบายๆ พยายามเข้าใกล้โต๊ะของนคินทร์แต่ถูกหัวหน้าบอดี้การ์ดขัดขวางไว้
"นายท่านรองเชิญนั่งตรงนี้ดีกว่าครับ" อนณแจ้งแก่ผู้เป็นอาของเจ้านายผายมือไปยังโซฟาตัวใหญ่ด้านข้างก่อนจะได้รับคำพูดไม่ต่างจากทุกครั้ง
"มึงนี่ยังเป็นหมารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จริง ๆ " นพรุจหัวเราะเยาะในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกกึ่งสมเพชคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากลูกหมาผู้ภักดีก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาแล้วเข้าเรื่องในสิ่งที่ต้องการคำตอบ
"หลานชายรู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่"
"ครับ"
"อาแค่อยากจะมาเตือนด้วยความหวังดี อาไม่เห็นว่าข้อเสนอที่คุณดิลกให้มาจะเป็นการเอาเปรียบเป็นเราเสียอีกที่เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ทั้งเมียได้ทั้งพื้นที่ทำเลทอง แกรู้ไหมว่าที่ดินผืนนั้นถ้าแกได้มาเปิดกาสิโนแห่งใหม่มันจะทำกำไรมหาศาลแค่ไหนในแต่ละปี" นพรุจพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและใส่อารมณ์เต็มที่
"เรื่องที่ดินอาไม่ต้องเป็นห่วงครับยังไงผมจะเจรจาเอง แต่เรื่องที่แถมมากลับที่ดินนั้นผมไม่ต้องการ" นคินทร์ตอบโต้โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคนที่มีศักดิ์เป็นอาสายตายังคงจดจ่ออยู่ที่เอกสารตรงหน้าอย่างกับแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ต่างกันอย่างชัดเจน
"อย่าโอหังให้มากนักไม่อย่างนั้นจุดจบแกจะไม่ต่างจากพ่อของแก แกก็รู้ว่าถ้าเราปฏิเสธจะมีผลอะไรตามมา" นพรุจเตือนอย่างเฉียบขาด
นคินทร์ที่ได้ฟังถึงกับละสายตาจากเอกสารตรงหน้า ปากกาในมือถูกวางลงพร้อมกับสีหน้าที่เข้มขึ้นด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายใน
"ถ้าผมมีจุดจบไม่ต่างจากพ่อก็คงต้องแสดงความยินดีกับอารองล่วงหน้าสินะครับเพราะลูกชายสุดที่รักของอารองจะได้ทำงานในตำแหน่งที่อารองอยากได้เสียที"
"นคินทร์!! แกก็รู้ว่าอาไม่ได้อยากได้" นพรุจท้วง
"เหรอครับ?"
"เอาเถอะเรื่องนี้พูดไปพูดมาก็วนกลับมาที่เดิมยังไงก็ฝากเก็บไปคิดก็แล้วกัน" นพรุจผุดลุกจากโซฟาด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะปรายตามองไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดอย่างเหยียดหยาม
ส่วนอนณที่อยู่ในห้องด้วยตลอดไม่มีคำไหนที่เขาไม่ได้ยินแต่เขาก็ไม่คิดเอามันมาใส่ใจ เพราะมันเป็นเรื่องจริงสุนัขรับใช้อย่างเขาจะไปโต้แย้งอะไรได้ อนณไม่แม้แต่จะหันไปมองเจ้านายเพราะรู้ดีว่าตอนนี้คงกำลังไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
"ผมขอตัวครับ"
"เดี๋ยว" อนณชะงักขาที่กำลังจะก้าวออกมาก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งหลับตา
"ครับ"
"มึงก็รู้ว่าตอนนี้กูชักเริ่มอารมณ์ไม่ดี" เพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้นอนณก็ต้องเปลี่ยนทิศทาง ร่างโปร่งสาวเท้ามาหยุดตรงกลางหว่างขาที่อ้าออกกว้างของคนตรงหน้าซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นที่ที่นายบำเรอเพิ่งจะลุกไป
อนณนั่งลงและจัดการรูดซิปกางเกงออกอย่างไม่อิดออก มือขาวจัดการรูดรั้งท่อนลำอย่างชำนาญก่อนจะใช้ลิ้นสากโลมเลียในส่วนปลายหัวจัดการทำให้เจ้านายอารมณ์ดีตามที่ได้เคยสอนดั่งเช่นสุนัขรับใช้ที่เชื่อฟัง เพียงไม่นานห้องที่เงียบสงบก็กลับมามีเสียงหอบผสานดังก้องขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะยาวนานกว่าก่อนหน้านั้นมาก