บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 นิรันดร์ & อธิป (2)

สิบปีก่อน

"นพกูขอร้องให้กูกราบก็ได้" อธิปไม่พูดเปล่าเขานั่งลงทำม้าจะทำจริง แต่นพดลกลับเดินหนีออกห่างจากจุดที่อธิปนั่งลงทำท่าจะกราบ

"มึงอย่าทำแบบนี้...เงินตั้งสี่สิบล้านกูจะเอาที่ไหนมาให้ว่ะ" นพดลคิดว่าตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะช่วยเพื่อนที่ถลำลึกเกินไปได้แล้วจึงได้หยุดให้ยืมเงินไม่อย่างนั้นอธิปก็ไม่มีทางที่จะเลิกแน่นอน

"แต่มึงมีเงินหมุนเวียนในบริษัทตั้งเยอะแยะไหนจะที่กาสิโนอีก เงินแค่สี่สิบล้านมึงจะไม่มีได้ยังไง" อธิปร้องขออย่างสิ้นหวังโดยหวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนอย่างที่เคยเป็นมาแต่ไม่คิดว่าครั้งนี้ตนเองจะได้รับการปฏิเสธอย่างหนักแน่น

"แต่นั่นมันไม่ใช่ของกูคนเดียวมันเสียเมื่อไร กูก็เป็นแค่หุ้นส่วนคนหนึ่ง"

"มึงไม่ให้กูก็บอกมาตามตรงไม่ต้องอ้างนู้นอ้างนี่ให้เสียเวลา" อธิปเริ่มส่งเสียงดังเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการทำให้เขาเจ็บแค้นเพราะเมื่อกี้เขานั่นลดศักดิ์ศรีขอร้องมันถึงขนาดนั้นแต่มันกลับไม่ช่วยอะไร

"เออถ้ามึงคิดแบบนั้นก็ตามใจ กูเคยเตือนมึงแล้วว่าการพนันมันไม่เคยทำให้ใครรวย" คำพูดของนพดลมีแต่กระตุ้นให้อาทิตย์โกรธมากขึ้นเพราะในยามยากลำบากเขาคาดหวังให้เพื่อนยื่นมือช่วยเหลือ แต่เขากลับถูกปฏิเสธอย่างเย็นชาความเห็นแก่ตัวของอธิปทำให้เขามองไม่เห็นความจริงที่ว่าเขาเคยยืมเงินผู้ชายตรงหน้ามาหลายครั้งแล้ว และนพดลได้เคยเตือนเรื่องการพนันว่ามันไม่ได้มาง่าย ๆ เพราะนพดลอยู่ในวงการนี้มานาน

"ใช่ไงก็เพราะว่าพวกเจ้าของกาสิโนแบบมึงมันโกงนั่นไงล่ะ ถึงรวยเอา ๆ " อธิปที่มีแต่ความเจ็บแค้นที่คนตรงหน้าไม่ช่วยก็พ่นคำพูดออกไปโดยไม่คิดเพราะนิสัยที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง

"ไอ้อธิป กูไม่เคยบอกให้มึงไปเล่นแล้วมึงก็อย่ามาพาดพิงถึงกาสิโนของกู" นพดลที่ได้ยินก็ตอบกลับเสียงเข้ม

"เออตกลงมึงจะไม่ช่วยกูใช่ไหม"

"..."

"แล้วมึงจะต้องเสียใจ"

และนั่นคือการพูดคุยกันครั้งสุดท้ายระหว่างนพดลและอธิปและหลังจากนั้นนพดลรถก็ระเบิดเสียชีวิต

ปัจจุบัน

สองร่างที่นอนกอดเกี่ยวกันหลังเสร็จกิจกามก็ต่างสุขสมและคิดวิธีที่จะกำจัดหนามยอกอกที่เหลืออีกคนอย่างนคินทร์

...

กาสิโนใหญ่ใจกลางเมือง

"นายครับจะให้คุณนาราทำตำแหน่งเลขาจริง ๆ ใช่ไหมครับ" เซนถามด้วยความไม่แน่ใจเพราะตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าให้อนณทำทั้งหมดแล้วนี่ทำไมต้องจ้างเลขามาอีก ทั้งเรื่องนี้มันก็ทำได้ดีอยู่แล้ว

"อืมกูจะเปลี่ยนให้ไอ้นณไปทำอย่างอื่น กูจะได้ไม่หนักมึงก็รู้ว่ายังไงกูก็ไม่เคยไว้ใจมันถึงยังไงงานทุกอย่างที่ผ่านมันกูก็ต้องมาตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยตัวเองอีกที กลายเป็นว่ากูเหนื่อยกว่าเดิม" เสียงเข้มเอ่ยตามจริงเพราะทุกวันนี้ก็จับตามองไอ้ลูกคนทรยศอยู่ตลอดเวลาไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มันจะหันกลับมาแว้งกัดเหมือนกับพ่อของมัน

"แต่หลายปีมานี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรหลุดออกไปเลยนี่ครับทั้ง ๆ ที่อนณมันก็รู้เยอะขนาดนั้น แต่มันกลับทำงานให้นายแบบถวายหัวเจ็บตัวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง" หนึ่งในลูกน้องคนสนิทพูดแย้งเพราะตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาอนณมันก็ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี เขาไม่เชื่อว่ามันจะทรยศเขานายได้

"ตกลงมึงเปลี่ยนฝั่งไปอยู่ข้างลูกของไอ้ฆาตกร" นคินทร์ถามเสียงเข้มหรี่ตามองลูกน้องอย่างจับผิด เซนรู้ว่าเจ้านายเริ่มอารมณ์ไม่ดีแต่ก็อยากพูดอะไรสักอย่างเพราะอยู่ด้วยกันมานานไม่ผิดที่เขาอยากเตือนสติเจ้านาย

"เปล่าครับ แต่ที่ผมเห็นก็อดสงสารมันไม่ได้ผมกลัวว่าสักวันมันจะไม่อยู่เป็นข้ารับใช้นายตลอดไปก็เท่านั้นเอง" เซนพูดตามที่ตัวเองคิด

"มันจะไปไหนได้สุนัขที่ซื่อสัตย์อย่างมันก็ต้องอยู่รับใช้กูไปตลอดชีวิตนั่นแหละ" นคินทร์พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

"ผมก็คิดแบบนายนั่นแหละครับ แต่คำว่าตลอดชีวิตไม่ใช่ว่าจะยาวนานนะครับผมกลัวว่าสักวันที่มันหมดห่วงกับอะไรสักอย่างมันก็คงอยากออกไปจากชีวิตที่เป็นทาสรับใช้"

"มึงคิดว่ามันจะได้ออกไปง่าย ๆ"

"ครับ..ผมก็ไม่คิดว่ามันอยากจะออกไปแบบมีลมหายใจ"

"มึงหมายความว่ายังไง"

"ผมกลัวว่าสักวันมันอาจจะออกไปจากที่นี่แบบไร้ลมหายใจมากกว่า"

"ในฐานะที่ผมเป็นคนสนิทที่นับถือเจ้านายแบบพี่ชายมาตลอดผมขอเตือนนายอะไรสักอย่าง บางครั้งการที่เราเห็นว่าเขาจงรักภักดีไม่มีปากเสียงอยู่แบบเจียมตัวทำงานทุกอย่างตามคำสั่งเป็นทาสรับผู้ซื่อสัตย์ไม่ว่าจะด้วยคำสัตย์ที่ให้ไว้หรือต้องการชดใช้ในสิ่งที่พ่อตัวเองได้กระทำ แต่ความรู้สึกมันก็มีขีดจำกัดของมัน"

"ผมเกรงว่าสักวันที่มันคิดว่ามันไม่เหลือใครในชีวิตที่มันต้องดูแลแล้ว"

"มันก็คงไม่อยากดูแลชีวิตมันเองเหมือนกัน"เซนตั้งข้อสังเกตพร้อมเตือนสติเจ้านายที่เคารพแต่เรื่องของอนณเขาไม่อยากทำให้เจ้านายถลำลึกกับความแค้นที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่าพ่อของอนณนั้นเป็นคนวางแผนฆ่าพ่อของคุณนคินทร์ เขาว่าจดหมายที่พ่อของอนณทิ้งไว้นั่นมันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่เขาเองก็ไม่รู้ในเนื้อหาจดหมายชัดเจนมีเพียงคำบอกเล่าที่พูดออกมาจากปากต่อปากเท่านั้นและจดหมายก็ถูกตำรวจยึดเอาไปเป็นหลักฐานหมดแล้ว แต่เหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะไม่เข้าถึงคนที่มีความแค้นอยู่เต็มหัวใจของเจ้านายเขาสักเท่าไร

"ไอ้เซน" นคินทร์เรียกชื่อลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแผ่รังสีอำมหิตออกมา จนเซนที่พูดมากรู้สึกขนลุกและรีบชิ่งหนี

"ผมออกไปเตรียมโต๊ะให้คุณนาราก่อนนะครับ" เซนต้องรีบถอยออกมาตั้งหลักก่อน หลังจากพูดจบก็ขออนุญาตเจ้านายแล้วเดินออกมาไม่สนใจว่าใบหน้านั้นจะดูอึมครึมเพียงใด หลากหลายเรื่องราวตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเด็กที่ชื่อว่าอนณนั้นเขารับรู้มาไม่น้อยแถมยังรักมันไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่งทั้งเขาและโคลฝึกสอนมันมาตั้งแต่มันถูกพาเข้ามาวันแรกในตอนที่มันอายุได้สิบแปดปีเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะมีอนาคตไกลกลับไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อเพราะต้องมาชดใช้แทนสิ่งที่พ่อตัวเองกระทำ เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักยิ้มทีก็ทำให้โลกสดใสที่เคยเห็นในตอนนั้น แต่บัดนี้ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มคงความนิ่งงันไม่มีความรู้สึกใด ๆ เผยออกมาให้เห็น

ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมามันน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าอนณนั้นจงรักภักดีเพียงใด เขารู้ว่าอนณนั้นใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนอกจากแม่ที่มีเพียงคนเดียวที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช นอกจากนั้นก็ไม่มีใครไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน ไม่มีคนให้คำปรึกษายามพบปัญหา ถึงเขาและโคลจะถือเป็นคนที่สนิทกับมันที่สุดแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะมีเรื่องราวอะไรมาพูดคุยปรึกษาหารือ หรือพูดจากันนอกเหนือจากเรื่องงาน

อนณชอบเก็บตัวถ้าว่างเว้นจากงานนอกจากสวนแคคตัสก็มีเพียงที่เดียวที่เจ้าตัวชอบไปอยู่ห้องนอนของมันเป็นที่ที่มันชอบเข้าไปหลบซ่อนตัว

เขาหวังว่าสิ่งที่เขาพูดเตือนเจ้านายนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

...

ก๊อก ก๊อก

"สวัสดีครับพี่คินทร์วันนี้ผมเอาอาหารมาให้ครับผมทำเองทุกอย่างเลย พี่คินทร์ทานกับผมนะครับ" นาราที่เพิ่งเข้ามาวันแรกพอมาถึงก็ถือวิสาสะเข้ามาพบคนที่ทำงานอยู่ด้านใน

"อืม เอาสิ"

"เอ่อ..รบกวนคุณอนณเตรียมจานให้หน่อยได้ไหมครับ" คนที่มาใหม่พูดด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจไม่น้อย

"ให้มันทำ" นคินทร์ตวัดหน้าไปที่ลูกน้อง

"ครับ" นาราทำสีหน้าสงสัยมองไปที่คนแก่กว่าเพราะไม่เข้าใจคำพูดน้องคำของคนที่จะมาเป็นเจ้านาย

"ต่อไปนี้นาราเป็นเลขาของพี่หลังจากเรียนรู้งานเสร็จพี่จะนาราทำพวกเอกสารแทนมัน" นคินทร์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบมองผู้ชายตรงหน้าที่อาเล็กส่งมาช่วยก็คิดว่าไม่ได้แย่แต่เรื่องงานก็คงต้องค่อย ๆ ดูกันไป

"จริงเหรอครับถ้าอย่างนั้นนาราจะตั้งใจเรียนรู้งานให้ไวที่สุดเลยครับ นาราอยากเป็นเลขาพี่คินทร์" นาราพูดด้วยน้ำเสียงดีใจดวงตาเป็นประกาย

"ครับ" นคินทร์ตอบนาราก่อนจะหันมาพูดกับหัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยน้ำเสียงต่างออกไป "ไปสิ! ไปทำหน้าที่รับใช้ของมึง"

"ครับ" อนณที่ได้ฟังก็หยิบของที่เลขาคนใหม่นำมาก่อนจะเดินถือออกไปจัดใส่จานตามที่เจ้านายสั่ง

"นาราคิดว่าพี่คินทร์จะให้นาราทำงานตำแหน่งอื่นเสียอีกเพราะเห็นพี่คินทร์บอกว่าไม่รับเลขานานแล้ว"

"ก็พี่ยังไม่เคยเห็นใครเหมาะสม"

"งั้นแสดงว่านาราเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ใช่หรือเปล่าครับ"

"เรื่องนี้พี่ว่านาราคงต้องพิสูจน์เองนะครับว่าตัวเองเหมาะสมหรือเปล่า" นคินทร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแค่กระตุ้นให้คนตรงหน้าตั้งใจทำงานแบบกลาย ๆ

"ได้เลยครับนาราจะไม่ทำให้พี่คินทร์ผิดหวัง" นารายิ้มกว้างสายตาพราวระยิบระยับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ส่วนนคินทร์ที่เห็นรอยยิ้มสว่างไสวตรงหน้าก็เผลอมองแล้วยิ้มตามไม่ได้ ทำให้นาราที่เห็นรอยยิ้มของคนที่ตนเองต้องการครอบครองก็ยิ่งได้ใจยิ้มหวานอย่างเอาใจ

แต่ที่นาราไม่รู้เลยนั้นก็คือที่นคินทร์มองรอยยิ้มของตนเองนั้นเพราะว่าเขากำลังคิดย้อนไปถึงรอยยิ้มของอีกคนที่ไม่ได้เห็นมานานก็เท่านั้นเอง

ก๊อก ก๊อก

"ขออนุญาตครับ"

"เข้ามาได้ครับ" เสียงตอบกลับคำอนุญาตที่ไม่ใช่เสียงของเจ้าของห้องไม่ทำให้อนณแปลกใจ เพราะเขารู้ว่าคนที่อยู่ในนี้มีความสำคัญกับเจ้านายเพียงใดเพราะสายโทรศัพท์ที่ได้รับเมื่อเช้าที่ย้ำนักย้ำหนาเรื่องการดูแลเลขาคนใหม่และก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคุณนิรันดร์ที่โทรมาย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกเพราะเลขาคนใหม่นี้อาจจะเป็นอนาคตเจ้านายของเขาได้ สิ่งที่ได้ฟังนั้นไม่ทำให้แปลกใจเพราะเขารู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าคุณนิรันดร์พาหลานชายของเพื่อนมาฝากงานแต่ก็เพิ่งรู้จากปากของผู้มีศักดิ์เป็นอาของเจ้านายว่าเลขาคนใหม่นี้ถูกวางตัวให้เป็นหลานสะใภ้

อนณที่ได้ฟังก็ตอบรับด้วยความยินดี ยินดีที่จะมีคนมาทำงานแบ่งเบาภาระ

ยินดีที่เจ้านายจะมีคนคอยดูแลและอาจพัฒนาไปถึงขั้นเป็นคนรักส่วนเขาก็ยังเป็นสุนัขผู้ภักดีจนกว่าเจ้านายจะไม่ต้องการหรือจนกว่าที่เขาไม่เหลือใครวันนั้นเขาคงจะออกไปทันที

หลังจากวางจัดวางทุกอย่างเรียบร้อยอนณก็เดินมาหยุดที่มุมห้องรอคอยคำสั่งต่อไป

"มึงออกไปได้แล้ว"

"แต่ว่า"

"กูบอกให้ออกไป" นคินทร์เอ่ยไล่เสียงเข้มสายตาดุดันที่ใช้มองไปยังหัวหน้าบอดี้การ์ดทำเอานาราที่เพิ่งเคยได้เห็นถึงกับผวาในใจหวั่นกลัวไม่น้อย

"ครับ"

"ดูเหมือนว่าคุณอนณเค้ายังไม่ไว้ใจนาราเท่าไรเลยนะครับ" นาราพูดด้วยน้ำเสียงเศร้ามองไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ด

"มันนั่นแหละสมควรที่ไม่น่าไว้ใจ"

คำพูดที่ไม่เคยรักษาน้ำใจคนฟังไม่ทำให้อนณรู้สึกอะไรเพราะเขาได้รับฟังมันจนชินชา หากฝึกฝนให้ร่างกายไร้ความรู้สึกได้ทำไมเขาจะฝึกจิตใจไม่ได้เพราะสุนัขรับใช้อย่างเขามันไม่สมควรรู้สึก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel