บทที่ 6-1ใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล
เสิ่นเลี่ยงหรงย่อมไม่มีทางรู้ว่าตัวเขาเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวที่สวน เมื่อเข้ามาถึงห้องหนังสือ บ่าวไพร่ก็เร่งเข้ามารายงานว่า รองแม่ทัพจินอิ๋งโจวขอเข้าพบ
“คารวะท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาทันทีที่บ่าวไพร่ออกไปเชิญ
“ไม่มีใครอื่น เจ้าก็อย่าได้มากพิธี” เสิ่นเลี่ยงหรงคร้านจะพูดประโยคนี้กับญาติผู้น้องหัวดื้อผู้นี้ “ได้ตัวคนมาแล้วหรือไม่”
คืนนั้นเขาย่อมรู้ตัวว่าถูกสะกดรอยตาม แม้จะถูกลอบสังหารได้รับบาดเจ็บแต่หาได้สิ้นสติทันที เดิมทีสมควรให้เหล่าองครักษ์ที่ลอบซุ่มอยู่จัดการ ทว่ากลับถูกองครักษ์จากจวนเฉิงอ๋องเข้ามาแทรกแซง เขาเองก็กำลังหาหลักฐานเอาผิดอีกฝ่ายจึงยอมพายเรือตามน้ำ
แต่ผู้ใดจะคิดว่าจากที่ควรได้หลักฐานบางอย่างกลับได้ภรรยามาคนหนึ่งแทน อีกทั้งจิ้งจอกเฒ่าเฉิงอ๋องยังไม่ยอมส่งตัวนักฆ่าให้จนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เขาทำได้เพียงส่งคนไปคอยจับตาดูนักโทษในห้องขัง ป้องกันไม่ให้พวกเขาเล่นเล่ห์กลลับหลัง
“คนของเราคุมตัวพวกมันไปสอบปากคำแล้ว ท่านว่า...” จินอิ๋งโจวเหลือบตามองอีกฝ่าย “ท่านว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“ย่อมต้องเป็นเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่น” น้ำเสียงเอ้อระเหยดังขึ้นหน้าประตู ผู้มาใหม่ก้าวอาดๆ เข้ามาอย่างวางมาดราวกับเป็นบ้านของตน
ชายหนุ่มสวมชุดแขนกว้างสีฟ้า ส่งเสริมให้ใบหน้าหล่อเหลาเจ้าสำอางดูเสเพล เมื่อเดินมาถึงโต๊ะตัวกว้างก็หุบพัดในมือชี้หน้าท่านโหวหนุ่มด้วยท่าทางโอหัง
“แผนการนี้ก็แค่ต้องการล่อลวงเจ้าไปให้เสี้ยนจู่ย่ำยี...” ฉู่หวนเอ่ยได้เท่านั้นก็พลันต้องกระโดดหลบด้ามดาบที่พุ่งเข้าใส่ วิถีของอาวุธพุ่งตรงมุ่งเอาชีวิต เห็นได้ชัดว่าเสี้ยนจู่ผู้นั้นคือจุดตายของอีกฝ่าย “นามหลงหลินของเจ้านี่อดีตท่านแม่ทัพช่างตั้งได้ดีจริงๆ” น้ำเสียงของชายหนุ่มประชดประชัน
ชื่อรองของเสิ่นเลี่ยงหรงคือ หลงหลิน เป็นนามที่บิดาของเขาตั้งให้ หลงหลินคือดาบใหญ่วิเศษ เป็นหนึ่งในศาสตราวุธวิเศษทั้งเก้า
“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือนี่” จินอิ๋งโจวไม่คิดว่าข่าวลือเหล่านั้นจะเป็นจริง สีหน้าจึงออกจะพิลึกพิลั่นเมื่อนึกถึงภาพที่ท่านโหวหนุ่มต้องนอนพลีกายให้ท่านหญิงย่ำยี “ญาติผู้พี่ช่างเสียสละ...”
“ไสหัวไป!” เสิ่นเลี่ยงหรงตวาดก้อง
“อ้อ...ขอรับ” รองแม่ทัพหนุ่มรีบรับคำ
“ไม่ใช่เจ้า” เสิ่นเลี่ยงหรงถลึงตามองญาติผู้น้องของตนก่อนจะหันไปหาสหาย
“ข้าไม่ไป” ฉู่หวนเอ่ยด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
“แต่เฉิงอ๋องจะลอบสังหารท่านด้วยเหตุใด เขามิใช่ฮ่องเต้ที่จำต้องใช้แผนวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน17 ยิ่งหากท่านแม่ทัพเป็นอะไรไปในดินแดนซีเป่ย ย่อมต้องหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของเฉิงอ๋อง” จินอิ๋งโจวยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล
“แล้วถ้าหากว่าเขากลัวว่าพวกเราจะหาหลักฐานเรื่องเมื่อสิบปีก่อนได้เล่า” คราวนี้ฉู่หวนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา “เฉิงอ๋องอาจรอเวลาให้กองทัพพิทักษ์อุดรคว้าชัยมาได้ก่อนแล้วค่อยลอบสังหารหลงหลิน โดยโยนความผิดให้ชาวตีก็เป็นได้”
เช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุจูงใจ
“หรือไม่...” กุนซือหนุ่มหลุบตามองแผนที่บนโต๊ะตัวกว้าง “อาจมีคนต้องการยิงเกาทัณฑ์เพียงหนึ่งครั้งรวบวิหคหมดทั้งรัง หากหนิงอันโหวมาเกิดเรื่องที่ซีเป่ย เฉิงอ๋องย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์ ตอนนี้ราชสำนักกำลังต้องการริบอำนาจอ๋องบรรดาศักดิ์ และที่สำคัญคือพวกเขาเริ่มเกรงกลัวแสนยานุภาพของกองทัพพิทักษ์อุดร เมื่อไม่มีแม่ทัพใหญ่ จะควบคุมจัดการอะไรย่อมสะดวกง่ายดาย”
“ไอ้ลูกตะพาบพวกนั้นเอาความกล้ามาจากไหนจึงคิดว่าจะสามารถควบคุมกองทัพพิทักษ์อุดรได้” จินอิ๋งโจวตบโต๊ะจนตัวหมากที่วางไว้กระจัดกระจาย
ฉู่หวนใช้สันพัดเคาะหลังมืออีกฝ่าย
“เจ้าเซ่อ เก็บขึ้นมา”
“เรื่องที่ให้จับตาดูป้อมทั้งห้ามีความคืบหน้าหรือไม่” จู่ๆ เสิ่นเลี่ยงหรงก็เอ่ยคำถามที่ไร้หัวไร้หาง ทำเอาคนสมองช้าอย่างจินอิ๋งโจวต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยตอบได้
“ตามที่พี่ใหญ่ให้คนคอยจับตาดูป้อมทั้งห้า ข้าพบว่าที่ป้อมเฉิงคุนและป้อมเกาผิงมีความเคลื่อนไหวผิดปกติขอรับ”
ชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเว่ยยาวหลายร้อยลี้ ซึ่งตลอดแนวนี้มีโอกาสที่ชาวตีจะรุกราน แม้กองทัพใหญ่ของศัตรูจะพ่ายแพ้ถอยกลับไป แต่เสิ่นเลี่ยงหรงกลับมั่นใจว่าข้าศึกยังมีอุบายจึงสั่งให้คนคอยเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวนอกป้อมทั้งห้าไว้
เขาไม่เคยหย่อนยานการเฝ้าระวัง ยิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารในครั้งนั้น เขาก็ยิ่งเพิ่มความระแวดระวังขึ้นอีกหลายส่วน หากนักฆ่าเดนตายเหล่านั้นถูกข้าศึกจ้างวานมา เกรงว่าตอนนี้ทหารชาวตีคงกำลังลอบวางกลอุบายบางอย่าง ถึงแม้พวกมันจะพ่ายศึกในครั้งก่อน แต่หาได้สูญเสียไพร่พลจนไม่อาจฟื้นคืน กอปรกับยังมีชนเผ่าอื่นๆ ที่คอยสนับสนุนอยู่เนืองๆ
“ส่งข่าวลวงออกไปว่าข้าอ้างเรื่องแต่งงานเพื่อปิดบังอาการบาดเจ็บ” เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าศึกย่อมชะล่าใจ กล้าลงมือเปิดเผยมากขึ้น
แม่ทัพหนุ่มกางแผนที่แต่ละป้อมออกดู ค่อยๆ พิจารณาช้าๆ พลางเอ่ยถามกุนซือคนสำคัญ
“เรื่องความเคลื่อนไหวทั้งสองป้อม เจ้าเห็นว่าอย่างไร” ดูเหมือนชายหนุ่มจะให้ความสำคัญเรื่องนี้มากกว่าที่ตนถูกลอบสังหาร
“อาจเป็นอุบายล่อให้เราติดกับยกทัพไปป้องกันทางนั้นแล้วแว้งกลับมาบุกตีเฉาหยาง”
“ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม18” ความคิดเห็นเช่นนี้ตรงกับที่จินอิ๋งโจวคิดไว้พอดี “เช่นนี้ไม่สู้เราจัดทัพใหญ่ออกไล่ล่าพวกมัน ปราบให้ราบคาบเลยดีหรือไม่”
“เจ้ามันก็แค่อยากฆ่าคนเพื่อความสะใจเท่านั้น” ฉู่หวนปรายตามองด้วยท่าทางรังเกียจ “เจ้าคนป่าเถื่อนไร้อารยะ”
จินอิ๋งโจวถูกว่าก็หาได้รู้สึกลำบากใจ นอกจากยกมือเกาหัวแกรกๆ แล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ ยอมรับโดยดุษณีว่ารู้จักแต่ใช้กำลังมากกว่าปัญญา
“ส่งคนไปสอดแนมเพิ่ม พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปที่ค่ายหารือกับเหล่าแม่ทัพและขุนพลคนอื่นๆ” เสิ่นเลี่ยงหรงว่าก่อนจะปรายตามองสหาย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีอุบายอยู่เต็มท้อง”
คนถูกมองเพียงร้องหึแล้วเบ้ปาก แต่สองตายังจดจ้องแผนที่ตรงหน้า ภายในห้องตกสู่ความเงียบอีกครั้ง บุรุษทั้งสามต่างตกอยู่ในห้วงภวังค์ พวกเขาเพิ่งพักศึกมาได้หนึ่งเดือน แม้ทหารจะได้หยุดพักบ้าง ทว่าหากเป็นไปได้ ผู้ใดย่อมไม่อยากให้เกิดสงคราม
จินซื่อเอนหลังได้ครู่ใหญ่ สาวใช้ข้างกายก็เข้ามารายงานเรื่องในสวน
“จัดการเช่นนี้ก็ดี” นางว่าพลางหันกลับไปหาบ่าวรับใช้ข้างกาย “ให้พ่อบ้านขายพวกนางทิ้งให้หมด ข้าไม่ต้องการบ่าวไพร่ที่ไร้ความเคารพยำเกรงเจ้านาย ดูท่าข้าจะใจดีเกินไปแล้วกระมัง”
ยามนี้ด้านข้างมีสตรีเยาว์วัยอีกนางยืนอยู่ คนผู้นี้คือน้องสาวของจินอิ๋งโจวนามว่าจินอิ๋งเจียว เมื่อได้รับรู้เรื่องราวจึงอดจะเบ้ปากเอ่ยวาจาเหน็บแนมมิได้
“เสี้ยนจู่ผู้นี้ช่างกำเริบเสิบสานนัก แม้แต่คนที่ท่านป้าพามานางยังกล้าวางอำนาจลงโทษ” คำพูดและท่าทางของนางติดจะโผงผางตามแบบอย่างของคนที่อยู่ในสนามรบ
จินซื่อย่อมเคยชินกับท่าทางของหลานสาวที่พ่วงตำแหน่งขุนศึกของบุตรชาย
“หากนางต้องการวางอำนาจจริงคงไม่ส่งคนมาบอกกล่าวและขอขมาข้าหรอก เจ้าเองก็อย่าได้ตั้งแง่นักเลย” ผู้สูงวัยกว่าย่อมมองออกว่าหลานสาวจากบ้านเดิมผู้นี้แอบมีใจให้บุตรชายของนาง ทว่าเรื่องนี้ต้องเกิดจากความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ในเมื่อบุตรชายของนางครองตัวเป็นโสดมาช้านาน กระทั่งสาวใช้อุ่นเตียงที่เคยจัดหาให้เขายังไม่แล แล้วนับประสาอันใดกับการบีบบังคับเรื่องแต่งงาน นางไม่อยากคะคานเขาให้หมองใจกัน เพราะนั่นคือความสุขทั้งชีวิตของบุตรชาย
จินอิ๋งเจียวเม้มริมฝีปาก แต่ยังไม่ยอมแพ้ คุกเข่าลงข้างผู้เป็นป้าพลางเอ่ยเล่าเรื่องราวที่จ้าวรั่วถิงหน้าด้านตามตื๊อท่านโหวจนคนทั่วเมืองเฉาหยางต่างรู้ดี
“สตรีนางนี้ช่างไร้ยางอายนัก ท่านป้าบอกข้ามาเถอะเจ้าค่ะว่าใช่เฉิงอ๋องใช้อำนาจบีบบังคับพี่ชายหรือไม่” นางยังติดใจเรื่องการแต่งงานกะทันหันในครั้งนี้
จินซื่อได้ยินคำถามแล้วพลันทอดถอนใจ มีการบังคับนั่นใช่ แต่เป็นบุตรชายของตนต่างหากที่ใช้กำลังบังคับข่มเหงผู้อื่น นางเป็นสตรีด้วยกันย่อมมองออกว่าสภาพของจ้าวรั่วถิงในเช้าวันนั้นต้องเป็นเพราะเจ้าลาโง่บ้านตนไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คำว่ารักหยกถนอมบุปผาเป็นเช่นไรคงสะกดไม่เป็น ทำตัวไม่ต่างจากโจรป่าฉุดคร่าหญิงงาม ช่างงามหน้านัก!
“เจ้าน่าจะรู้ว่าคนอย่างหลงหลินใช่ว่าผู้ใดจะบังคับเขาได้ แล้วเฉิงอ๋องจะอาศัยอะไรมาบังคับเขา”