บทย่อ
“ในเมื่อท่านหญิงแห่งซีเป่ยนิยมชมชอบเช่นนี้ วันหน้าข้าจะพาไปปรนนิบัติเหล่าทหารกล้าทั้งหลายดีหรือไม่” แม้ปากยังเอ่ยพูดไป แต่ด้านล่างกลับขยับความแข็งแกร่งห้อทะยานเข้าไปในหนทางคับแน่นไม่หยุดยั้ง จ้าวรั่วถิงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ จะต่อต้าน ได้แต่ขบเม้มริมฝีปาก ทว่าเสียงเฉอะแฉะผสานกับเสียงกระแทกกระทั้นกลับทำให้ดวงหน้างามแดงก่ำ พยายามข่มกลั้นอย่างสุดกำลัง กระทั่งอีกฝ่ายใช้มือดึงเอี๊ยมที่เป็นปราการด่านสุดท้ายออกไป...
บทนำ
ลมราตรีพัดเอากลิ่นหอมของดอกท้อลอยเอื่อยๆ ลอดช่องหน้าต่าง พาให้ม่านสีเหลืองผลซิ่งปลิวไหวคลอเคล้าเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา
“บ่าวตรวจดูอาการของท่านโหวแล้ว คงจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งก้านธูป1ตามที่ท่านหมอหูคาดคะเนไว้เจ้าค่ะ” สาวใช้ใบหน้าหมดจดเอ่ยรายงาน “แม้ท่านหมอจะฝังเข็มทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง แต่พละกำลังของท่านแม่ทัพหาได้ควรดูเบานะเจ้าคะ”
“เจ้าสองคนแน่ใจว่ามัดเขาแน่นแล้วนะ” หญิงสาวผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกด้วยท่าทางเกียจคร้านเอ่ยถาม
จูอวี๋หวนนึกถึงเรื่องอาจหาญเมื่อครู่พลันเนื้อตัวสั่นสะท้าน “บ่าวตรวจทานที่พี่ชิวอวี๋จัดการอีกรอบแล้ว คิดว่าไม่น่าเกิดเรื่องผิดพลาดใดขึ้นเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าหากเขาหลุดออกมาได้...” ริมฝีปากงามผุดรอยยิ้มซุกซน “ระหว่าง แขน ขา หรือคอ เขาจะเลือกหักส่วนใดของข้าก่อน”
สองสาวใช้กลืนน้ำลายพร้อมกัน หากท่านหญิงไม่รอด แล้วคนที่ออกแรงมัดชายหนุ่มติดเตียงเช่นพวกนางยังจะรอดหรือ
“ท่านหญิงไม่ต้องกังวล บ่าวจะจุดธูปไหว้พระสวดมนต์ให้ท่านทุกวัน จะถือศีลอยู่ที่วัดไม่แต่งงาน อีกทั้งยังจะถวายเครื่องเซ่นไม่ให้ขาด” ชิวอวี๋รีบสาธยายอย่างซื่อสัตย์ แม้หากวัดกันตามความหนักเบา นางที่เป็นฝ่ายลงมือมัดท่านแม่ทัพใหญ่น่าจะเป็นฝ่ายตายก่อนผู้ใด
“ยังจะตั้งเครื่องเซ่นไหว้อันใด หากเขาหลุดมาได้เกรงว่าเรือนของข้าต้องถูกถล่มเป็นแน่แท้”
“เช่นนั้นบ่าวว่าท่านหญิงเปลี่ยนใจเถิดนะเจ้าคะ”
“ข้ารอมานานถึงเพียงนี้ หากพลาดโอกาสไปพวกเจ้าก็ตามไปบวชชีกับข้าเสียเถอะ” หญิงสาวเอ่ยคล้ายไม่อนาทรร้อนใจขณะส่งมือให้สาวใช้ประคอง “ไปคอยดูต้นทางให้ดี อย่าให้แม่นมสงสัยเป็นอันขาด และต้องเตรียมการเรื่องในวันพรุ่งนี้ให้ถ้วนถี่”
สำหรับสาวใช้ทั้งสองแล้ว เรื่องเหล่านี้นับว่าง่ายดายหากเปรียบเทียบกับเรื่องที่เจ้านายกำลังลงมือกระทำ
“ท่านหญิง...”
“อ๊ะ...” จ้าวรั่วถิงยกมือปราม คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทำให้ใบหน้าเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มยิ่งดูน่ากลั่นแกล้งมากกว่าน่าสงสาร “เหตุใดข้าไม่รู้สึกถึงไขผึ้งที่พวกเจ้าทาไว้”
ครานี้สองแก้มของสาวใช้พลันแดงระเรื่อจนแทบคั้นออกมาเป็นหยดเลือด
“เจ้าไปหยิบมาทาเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะ” สำหรับเสี้ยนจู่2ที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินผู้นี้กลับกลัวเรื่องที่จะต้องเจ็บตัวมากที่สุด “ข้าเคยเห็นเจ้าสิ่งนั้นในสมุดภาพตำหนักวสันต์3 ท่าทางจะรับมือได้ยาก”
“เจ้าของหอบุปผาย้ำนักย้ำหนาว่าไขผึ้งนี้ได้ผลดี ท่านหญิงอย่าเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ แต่ทางที่ดีบ่าวว่า...ท่านพยายามเลี่ยงการปะทะจะดีที่สุดนะเจ้าคะ”
“นั่นสินะ ข้าจะหาเรื่องเจ็บตัวไปไย”
ในขณะที่สตรีทั้งสามยังคงหารือแผนการ ชายหนุ่มที่ควรจะสลบไสลอยู่ห้องข้างกลับเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ความรู้สึกแรกที่เสิ่นเลี่ยงหรงสัมผัสได้คืออาการเมื่อยขบทั่วร่าง ก่อนที่ความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ขวาจะค่อยๆ แผ่ลามออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ซี้ด...” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกมาพร้อมกับความทรงจำที่เริ่มปะติดปะต่อ แต่เมื่อหมายจะยกมือขึ้นคลึงขมับกลับพบว่าสองแขนไร้เรี่ยวแรง ตั้งแต่ช่วงคอลงไปด้านชาไม่ตอบสนอง หัวคิ้วคมกดลึก บรรยากาศรอบกายยิ่งทวีความกดดันแม้เจ้าของร่างจะไม่อาจขยับเขยื้อนได้ก็ตามที
ดวงตาขาวสลับดำตัดกันชัดเจนกวาดมอง อาศัยเพียงแสงโคมที่ลอดผ่านฉลุบานหน้าต่างสำรวจสภาพภายในห้องอย่างระแวดระวัง ม่านโปร่งหน้าเตียงถักทอจากไหมเจียงหนาน เครื่องเรือนทำจากไม้จันทน์ชั้นดีแกะสลักลวดลายมงคลประณีตงดงาม กระถางกำยานทรงจินหนี4 ตั้งอยู่สองฟากฝั่งมิได้พ่นควันกำยาน เพียงมองผ่านๆ ยังพอจะรู้ว่าเป็นของดี
แค่มองปราดเดียวเขาก็พอจะคาดคะเนได้ว่าตนอยู่ที่ใด ทว่าเสิ่นเลี่ยงหรงหาได้ผ่อนปรนความระแวดระวัง ไม่นานหน้าประตูพลันมีความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มจึงแสร้งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง สองหูเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ
“ยังไม่ตื่นอีกหรือ”
ชายหนุ่มย่อมคุ้นเคยน้ำเสียงแว่วหวานที่เจือกระแสกระวนกระวายเล็กน้อยนั้นดี รอกระทั่งหญิงสาวรวบม่านหน้าเตียงแล้วใช้ตะขอเกี่ยวไว้ด้านข้าง ยื่นมือขาวเนียนประดุจหยกสลักมาหา
“เจ้าจับข้ามาทำไม” น้ำเสียงแข็งกระด้างแหบพร่าเจือกระแสคุกคามที่หากเป็นผู้อื่นได้ยินคงแข้งขาสั่น แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับหย่อนตัวนั่งลงตรงขอบเตียงแล้วฉวยโอกาสวางหลังมือลงบนหน้าผากกว้าง
“ไข้ลดลงแล้ว” ริมฝีปากเล็กแย้มยิ้มยินดี
“จ้าวรั่วถิง!” เสิ่นเลี่ยงหรงอยากสะบัดใบหน้าหนีมือเล็กที่เจือกลิ่นหอมหวานของดอกท้อ สัมผัสนุ่มนิ่มเย็นระรื่นนั้นช่างล่อลวงหัวใจผู้คนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
“จะเสียงดังไปไย ตัวท่านหาได้เคลือบทองเสียเมื่อไหร่ ไยต้องกังวลว่าถูกข้าแตะนิดๆ หน่อยๆ แล้วทองจะร่อน ท่านไม่ต้องห่วงหรอกน่า มากกว่าแตะหน้าผากข้าก็ทำมาแล้ว” หญิงสาวเอ่ยได้อย่างลื่นไหล หาได้สะท้านอาย ไร้ซึ่งท่าทางที่ควรสงวนไว้ตามแบบอย่างเสี้ยนจู่
“เจ้า!” เขากัดฟันกรอด เส้นเลือดข้างขมับเขียวคล้ำ อีกทั้งบนลำคอยังปรากฏเส้นเอ็นนูนเด่น
จ้าวรั่วถิงปรายตามองดูก็รู้ว่าเขาคงกำลังข่มกลั้นจวนขาดใจตายอยู่รอมร่อ หญิงสาวเม้มริมฝีปากหัวเราะแผ่วเบา เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มข้างแก้ม ดวงตากลมโตพราวระยับประหนึ่งดวงดาราฉายประกายซุกซน
“ท่านยังแข็งแรงอยู่นี่ ฉายาแม่ทัพไร้พ่ายนั่นไม่ได้เสี่ยงไม้ติ้วมาจริงๆ”
ชายหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่าย การที่เขานอนนิ่งเป็นผักยังนับว่าแข็งแรงอันใด นางคิดจะยั่วโทสะให้เขากระอักเลือดตายใช่หรือไม่
“ท่านหมอหูวินิจฉัยว่าท่านถูกพิษศิลาแดงที่มีฤทธิ์หลอนประสาททำให้คลุ้มคลั่ง หากเป็นคนธรรมดาคงยากจะฝ่ากลุ่มมือสังหารนับสิบออกมาได้ หรือหากไม่ตายคงเจ็บหนักกว่านี้” จ้าวรั่วถิงเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะกวาดตามองสำรวจทั่วร่างของอีกฝ่าย “ทว่าท่านที่ถูกฟันไหล่ได้รับบาดเจ็บกลับมีพลังเหลือล้น นักฆ่าเหล่านั้นคงคิดไม่ถึงว่า นอกจากฤทธิ์ยาจะไม่กัดกร่อนสติสัมปชัญญะแล้ว ยังเพิ่มพละกำลังให้ท่านด้วย” น้ำเสียงของนางเจือความทอดถอนใจให้แก่ความโง่เขลาของคนเหล่านั้น “ทว่าการที่ท่านคลุ้มคลั่งเกินไปกลับทำให้ยากต่อการรักษา ดังนั้น...” เอ่ยมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากบางพลันผลิรอยยิ้มซุกซน ดวงตาฉายประกายสมใจ “ดังนั้นท่านหมอจึงให้องครักษ์ของจวนอ๋องหลายคนคุมตัวท่านไว้แล้วฝังเข็มคลายกล้ามเนื้อให้ท่านอย่างไรเล่า”
“คลายกล้ามเนื้อ” ชายหนุ่มทวนคำช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แต่หญิงสาวหาได้สนใจ นางยังคงสาธยายคุณสมบัติต่างๆ ของวิธีการฝังเข็มอันเยี่ยมยอดของท่านหมอด้วยความเบิกบาน
“ใช่แล้ว วิธีนี้จะทำให้กล้ามเนื้อของท่านอ่อนแรงลง...เฉพาะจุด แค่นี้ท่านก็จะไม่คลุ้มคลั่งจนทำร้ายตัวเองแล้ว”
ไม่ทำร้ายตัวเองหรือไม่ฆ่าล้างจวนอ๋องกันแน่ ชายหนุ่มใช้สายตาเสียดแทงประหนึ่งดาบที่สลักจากแท่งน้ำแข็งมองอีกฝ่าย
จ้าวรั่วถิงราวกับหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน5 เอ่ยอ้างเอาความดีความชอบว่า “ท่านติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว”
จับเขาฝังเข็มสลายกำลัง นางยังกล้ามาอวดอ้างบุญคุณอันใดอีก!
“เจ้าต้องการอะไรให้เอ่ยมาตามตรง ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเด็กอย่างเจ้า”
“ท่านหาใช่ไม่รู้เสียหน่อยว่าข้าต้องการสิ่งใด” จ้าวรั่วถิงขยับมืออย่างอ้อยอิ่ง ลูบไล้ตั้งแต่หางคิ้วคมผ่านแก้มสาก
สองมือหนาที่ถูกมัดไว้กระตุกแผ่วเบา ทั้งๆ ที่นางลูบไล้ใบหน้า ทว่ากลับเป็นหัวใจที่คันยุบยิบเหมือนถูกอุ้งเท้าแมวเล็กๆ สะกิดเกา
ท่าทางข่มกลั้นจนต้องกัดฟันแน่น ถึงขนาดว่าเบือนหน้าปิดตาหนีเช่นนี้นั้นง่ายต่อการแปลความหมาย แต่จ้าวรั่วถิงหาได้เก็บมาใส่ใจ เขารังเกียจแล้วอย่างไร คนอย่างท่านหญิงจ้าวรั่วถิงมิเคยนำพา หาไม่นางจะตามเกี้ยวเขามาหลายปีอย่างหน้าไม่อายหรือ
เสิ่นเลี่ยงหรงพยายามไม่ใส่ใจท่าทางของนาง นึกไปถึงเหล่านักฆ่าที่ลงมือสังหารเขาอย่างเหี้ยมโหดเหล่านั้นจึงกัดฟันคาดคั้น “เหตุใดต้องเอาชีวิตข้า”
เดิมแผนทุกข์กาย6 ใช้ตนเองเป็นเหยื่อนี้วางไว้เพื่อล่อศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด กลับไม่คิดว่าจะกลายเป็นพาตนมาตกสู่อุ้งมือนาง
“ฆ่าท่านหรือ” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นแสร้งแปลกใจ “ข้าต้องการได้ท่านมาเป็นสามี หากฆ่าท่านเสียแล้วคงไม่แคล้วได้แต่งกับศพ เช่นนั้นส่งคนไปลอบสังหารท่านจะมีประโยชน์อันใด”
“เจ้า...เจ้ามันหญิงแพศยาไร้ยางอาย” ชายหนุ่มบริภาษออกไปอย่างเหลืออด เขาไม่เคยพบเจอใครที่เหิมเกริมเหมือนสตรีตรงหน้า กระทั่งหญิงสาวชนเผ่านอกด่านยังเปิดเผยได้ไม่ถึงครึ่งของท่านหญิงผู้นี้
“มิใช่ท่านเพิ่งรู้เสียหน่อย”
“พูดจุดประสงค์ของเจ้ามา เรื่องนี้คงเป็นท่านอ๋องที่อยู่เบื้องหลังสินะ”
“ท่านพ่อมีความแค้นใดกับท่าน หากจะเอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อน ท่านพ่อคงไม่ปล่อยให้ท่านรอดตายมาจนถึงบัดนี้หรอกกระมัง” จ้าวรั่วถิงคร้านจะสนใจลาโง่ตัวนี้ที่หากปักใจเชื่อสิ่งใดแล้วก็มีแต่จะพุ่งชนกำแพงทิศใต้7 ไม่สนใจฟังผู้อื่น “ในเมื่อท่านมีเรี่ยวแรงโมโหข้าปานนี้ แผลก็คงหายดีแล้ว ไม่สู้เรามาสานต่อบางเรื่องให้ลุล่วงเสียในคืนนี้” หญิงสาวก้มลงกระซิบแผ่วเบา พาเอาลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลงบนใบหน้าคมจนขนกายลุกซู่
“เจ้าจะทำอะไร” ปลายเสียงห้าวแกว่งไกวเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเต็มตาว่าหญิงสาวกำลังปีนขึ้นเตียง ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกโพลงเมื่อนางเลือกหย่อนตัวลงนั่งบนหน้าท้องแกร่ง “จ้าวรั่วถิง เจ้ายังมีศักดิ์ศรีหรือไม่!”
หญิงสาวไหวไหล่ “ศักดิ์ศรีเหล่านั้นมีไว้ทำสิ่งใด แต่งท่านเข้าบ้านก็ไม่ได้ ไม่สู้ใช้เวลาอันน้อยนิดนี้หาความสำราญกับท่านไม่ดีกว่าหรือ”
จ้าวรั่วถิงแสร้งเอ่ยยั่วเย้า ก็ใครใช้ให้เขายั่วโมโหนางก่อนเล่า ดูเอาเถอะคนเขาสู้อุตส่าห์ยื้อชีวิตไว้อย่างสุดความสามารถ นางนั่งเฝ้าหน้าเตียงเขาแทบไม่ได้หลับไม่นอน ยามนั้นแผลภายนอกของเขาแม้ไม่สาหัส แต่พิษที่ได้รับกลับทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง หากไม่มัดเขาเอาไว้ก็จะอาละวาดทำร้ายตัวเอง นี่นอกจากตื่นมาไม่เอ่ยปากขอบคุณแล้วยังกล่าวหากันอีก ช่างอกตัญญูนักเชียว
“เจ้า...คิดว่ายั่วยวนแล้วข้าจะ...”
สองตาคมเบิกมองเรือนร่างอรชรแทบถลนเมื่อหญิงสาวบางคนลงมือปลดชุดคลุมตัวนอกออกอย่างว่องไว
“เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย” จ้าวรั่วถิงโยนชุดตัวนอกออกไปส่งๆ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับชายหนุ่มที่ยังหลับตาแน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง “ท่านไม่ต้องห่วงหรอก พรุ่งนี้เช้าเมื่อท่านป้ามาเห็นท่านกับข้าในสภาพนี้” ท่านหญิงน้อยหัวเราะเบิกบาน “ท่านก็ต้องถูกบังคับให้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้าแล้ว”
“แต่งงานกับเจ้า?” น้ำเสียงห้าวกระด้างเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่ามารดาของข้าจะถูกเจ้าหลอกด้วยอุบายตื้นเขินเช่นนี้หรือ”
หญิงสาวที่กำลังจะปีนลงไปนอนเคียงข้างเขาชะงักงัน เอ่ยด้วยท่าทางลังเลไร้เดียงสาที่ไม่สามารถหลอกลวงผู้ใดได้ “แต่ข้าเสียความบริสุทธิ์ให้ท่านไปแล้ว ไม่มีทางที่ท่านป้าจะไม่ยอมรับ”
“เจ้ายังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ให้ข้า!” ชายหนุ่มเอ่ยลอดไรฟันเน้นชัดทีละคำจนแทบเป็นตะคอก
“อ้อ เช่นนี้คงต้องเสียความบริสุทธิ์จริงๆ กระมัง” ดูเหมือนนางจะจับประเด็นสำคัญได้ในทันที จ้าวรั่วถิงเอียงหน้ามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายที่หากบ่าวไพร่ในจวนเห็นเป็นต้องพากันเผ่นหนี แน่ใจแล้วว่าต่อจากนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี “เช่นนั้นก็มาเถิด วิกาลยาวนานความฝันมาก8 มิสู้ใช้เวลาอันน้อยนิดนี้หาความสำราญกับท่านไม่ดีกว่าหรือ ถึงอาการของท่านจะค่อนข้างสาหัส และทั่วร่างขยับไม่ได้ แต่ท่านหมอยืนยันแล้วว่า...ส่วนนั้นยังใช้การได้ดี”
นางสู้อุตส่าห์วางแผนมาเป็นอย่างดี มีหรือจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปโดยไร้รอยราคี
“เสิ่นเลี่ยงหรงไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ อย่างไรท่านก็ต้องแต่งกับข้า”