บทที่ 1 เพียงคนผ่านทาง
“นี่คือทาสกลุ่มสุดท้ายแล้ว” ทหารร่างเตี้ยเอ่ยรายงานกับขบวนทหารที่ทำการควบคุมทาสใช้แรงงาน
“เหตุใดจึงมีมาเพิ่มอีก” นายกองผู้นั้นรับหนังสือส่งตัวมาอ่านพลางมุ่นคิ้ว
“คดียักยอกเสบียงที่เพิ่งมีการประหารไปเมื่อวาน”
“อ้อ รวดเร็วถึงเพียงนี้” เมื่อกอปรกับรายงานในมือ นายกองผู้นั้นย่อมกระจ่างชัดว่าคนเหล่านี้คือครอบครัวของทหารที่ทำผิด “แต่ก็ดี สมควรประหารให้สิ้น พวกเดรัจฉานลักเสบียงขายชาติ” เขาว่าพลางยกเท้าถีบคนที่อยู่ใกล้ๆ
เด็กชายอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีที่ถูกมัดไว้กลับมีปฏิกิริยาว่องไว รีบถลันมาบังร่างของมารดาไว้ ทั้งๆ ที่ถูกถีบเข้ากลางแผ่นหลังอย่างแรงกลับไม่เปล่งเสียงร้องสักคำ
“หืม” นายกองผู้นั้นเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มหน้าตาสกปรกใต้ฝ่าเท้า “ใจกล้าไม่เบานี่ มิน่า บิดาขวัญกล้าเทียมฟ้าของเจ้าจึงกล้ายักยอกเสบียงหลวง”
“ท่านพ่อไม่ได้ทำ!”
“ปากดีนัก” นายทหารร่างเตี้ยปราดเข้ามายกเท้ากระทืบลงบนแผ่นหลังที่พยายามเหยียดตรง
“หยุดมือ!” น้ำเสียงเล็กแต่เต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นไม่ไกล ไม่ทันไรขบวนผู้ติดตามย่อมๆ ก็ก้าวเข้ามา ผู้ที่เดินนำหน้าคือเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงสีแดงสดที่ขับเน้นให้ผิวขาวละมุน ใบหน้าเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขนจิ้งจอกฟูฟ่องกลับมิอาจลดทอนความน่าเกรงขาม
เหล่าทหารเห็นดังนั้นต่างรีบพากันคุกเข่า ในเมืองเฉาหยางนี้มีผู้ใดไม่รู้จักท่านหญิงจ้าวรั่วถิง ธิดาคนโปรดของเฉิงอ๋องบ้าง
“คารวะเสี้ยนจู่”
“ปล่อยคน” นิ้วเล็กๆ เนียนสวยดั่งต้นหอมปอกชี้ไปยังเด็กชายที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น
“เอ่อ...” นายกองผู้นั้นมีท่าทางอึกๆ อักๆ เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมขยับ
“ข้าบอกให้ปล่อยคน หูเจ้ามีปัญหาหรือไง”
“คนเหล่านี้คือทาสที่ทำความผิดร้ายแรง ขอเสี้ยนจู่โปรดอภัย ข้าน้อยต้องทำตามกฎขอรับ”
“ข้าก็คือกฎ” เด็กน้อยเชิดหน้าขึ้น เอ่ยวาจาอย่างกำเริบเสิบสาน
แม้จะหายตกตะลึงกับถ้อยวาจานั้น แต่เหล่าทหารกลับไม่กล้าขยับตัว ถึงอย่างไรการปล่อยนักโทษก็มีความผิดติดตัว พวกเขายังไม่กล้าเสี่ยง...
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงรู้จักว่านี่คือสิ่งใด” เด็กน้อยชูป้ายหยกไปตรงหน้า
นายกองผู้นั้นจดจ้องหยกในมือเล็กๆ ตาแทบถลน เคยได้ยินมาบ้างว่าเฉิงอ๋องมอบหยกแทนตัวให้บุตรสาว ยามนั้นเขาเพียงหัวเราะแผ่วเบา ก็แค่เด็กน้อย จะตามใจเลยเถิดแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ท่านอ๋องผู้ครองแผ่นดินศักดินาจะยอมมอบตราอาญาสิทธิ์ให้ เพราะถึงแม้จะเป็นเพียงอ๋องบรรดาศักดิ์ แต่สถานะของเฉิงอ๋องผู้ครองซีเป่ยซึ่งเป็นดินแดนห่างไกลจากเมืองหลวงนั้นกลับไม่ต่างอันใดกับฮ่องเต้แม้เพียงนิด
เห็นป้ายอาญาสิทธิ์เท่ากับเห็นตัว คำสั่งนี้ถือเป็นคำขาด ต้องปฏิบัติตามห้ามบิดพลิ้ว
“จะปล่อยตัวคนได้หรือยัง”
“ขอรับ ได้ขอรับ” นายกองส่งสัญญาณให้ลูกน้องไปจัดการปล่อยเด็กชาย
“สตรีผู้นี้ด้วย” จ้าวรั่วถิงชี้นิ้วไปยังหญิงสาวอีกคน
“ได้ขอรับ” พวกเขารับคำลนลาน รีบจัดการแก้มัดส่งคนให้ทหารองครักษ์ที่ติดตามอารักขาท่านหญิงน้อย
“เรื่องเอกสารเหล่านั้น” แม้ยังเด็ก แต่จ้าวรั่วถิงกลับเฉลียวฉลาดเกินวัย เด็กสาวพยักพเยิดไปทางเอกสารในมือของนายกอง “คงไม่ต้องบอกกระมัง”
“ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อยขอรับ”
“ส่วนเจ้า” จ้าวรั่วถิงหันไปมองนายทหารร่างเตี้ยที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นระริก
“ขอรับๆ ข้าน้อยมิเคยนำทาสคนใดมาส่งเลยขอรับ”
“ดีมาก” เด็กน้อยเอ่ยอย่างพอใจก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ทหารที่กำลังหลั่งเหงื่อเย็นมองส่งเทพเจ้าแห่งโรคระบาดจนลับสายตา
เพียงก้าวขึ้นรถม้า จ้าวรั่วถิงก็รีบถลันไปหาเด็กหนุ่มผู้นั้น ยื่นมือไปปัดเศษฝุ่นตามเสื้อผ้าโดยไม่รังเกียจ
“พี่เลี่ยงหรงเจ็บหรือไม่” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างร้อนใจ หยาดน้ำใสคลอหน่วยตา
เด็กชายกลับเบี่ยงตัวหนีมือเล็กๆ ด้วยท่าทางรังเกียจ “อย่าใช้มือสกปรกแตะต้องข้า” เสิ่นเลี่ยงหรงเงยหน้ามองจ้าวรั่วถิงด้วยแววตาคั่งแค้น “เจ้าทำเช่นนี้ทำไม”
“ข้า...ข้า” จ้าวรั่วถิงถูกสายตาเยียบเย็นประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ร่วงทำให้ตกใจ พี่ชายแสนดีตรงหน้าเคยใช้สายตาและวาจาเชือดเฉือนเช่นนี้กับนางที่ไหน ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครกล้าขึ้นเสียงกับนางแม้กระทั่งบิดา
“อ้อ...” เสิ่นเลี่ยงหรงยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงถากถาง “บิดาของเจ้าคงกำลังให้ทานสินะ แต่เขาคิดหรือว่าข้าจะซาบซึ้งกับน้ำใจเล็กน้อยๆ นี้ หากไม่ใช่เพราะเขาใส่ความ ท่านพ่อข้าไหนเลยจะถูกประหารด้วยข้อหายักยอกเสบียง พวกเจ้ามันหมาป่าตาเดียวเนรคุณคน ท่านพ่ออุตส่าห์เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องจึงอาสายกทัพมาช่วยต้านพวกนอกด่าน แต่บิดาเจ้ากลับตอบแทนพวกเราเช่นนี้”
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อมิได้” จ้าวรั่วถิงอึกๆ อักๆ นางรู้เพียงแต่พี่ชายที่แสนดีกำลังจะถูกส่งไปเป็นทาสใช้แรงงานในดินแดนทุรกันดารจึงรีบเร่งพาคนมาช่วยเหลือ ทว่านอกจากอีกฝ่ายไม่ซาบซึ้ง ยังถึงกับกล่าวหาบิดาของนาง
“ข้าไม่ถือว่าติดค้างน้ำใจ ต่อไปพวกเรา...” ถ้อยคำต่างๆ ติดอยู่เพียงริมฝีปากเมื่อเห็นท่าทางปิ่มจะร้องไห้ของอีกฝ่าย เด็กน้อยแก้มขาวซีดเม้มริมฝีปากเล็กๆ จนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม ดวงตากลมใสฉาบรื้นจ้องมองเขาด้วยประกายเว้าวอนเจือตัดพ้อ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบรวบนางเข้าสู่อ้อมกอดพลางเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม
“พี่เลี่ยงหรง...” จ้าวรั่วถิงเรียกอีกฝ่ายเจือสะอื้นพลางยื่นมือเล็กๆ ไปยึดชายเสื้อของเขาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ต่อไปก็ถือว่าพวกเราเป็นเพียงคนผ่านทาง” เขาปลดมือนุ่มเย็นชืดออกอย่างตัดใจ ก่อนจะกระโดดลงรถม้าพามารดาจากไปโดยไม่หันหลังกลับ
เสียงเครื่องดนตรีปลุกเสิ่นเลี่ยงหรงจากความทรงจำอันเลวร้าย ชายหนุ่มปรายตามองแม่สื่อประคองเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีแดงเฉิดฉันขึ้นเกี้ยวแปดคนหาม ก่อนจะกระตุกบังเหียนม้าควบนำขบวนท่ามกลางเสียงอวยพรของชาวบ้านที่ต่างพากันมาชมความครื้นเครง
หลายปีมานี้พวกเขาต้องเผชิญกับศึกสงครามไม่ว่างเว้น ยากนักที่ในเมืองจะมีงานมงคลอันยิ่งใหญ่ ชาวเมืองจึงต่างตั้งตารอคอยความครึกครื้น ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวจนไม่อาจนับได้ว่ามีกี่หาบ กระทั่งหัวขบวนเลี้ยวเข้าสู่จวนโหวแล้ว หางขบวนยังออกมาไม่พ้นจวนอ๋องด้วยซ้ำ สำหรับเฉิงอ๋องจ้าวลู่เฉินผู้ปกครองแผ่นดินศักดินาซีเป่ยแล้ว อย่างอื่นอาจมีไม่มาก แต่ที่มากจนใช้ไม่หวาดไม่ไหวคือเงินทอง เพราะซีเป่ยมีเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเว่ย ตลอดทางที่ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนผ่านล้วนมีการโปรยเหรียญมงคล ผู้คนต่างออกมารับไอมงคลแย่งกันเก็บเหรียญทั้งเด็กผู้ใหญ่ พาให้บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความชื่นมื่น จะมีก็แต่เพียงใบหน้าถมึงทึงของเจ้าบ่าวเท่านั้นที่ขัดกับบรรยากาศครื้นเครง มองผาดๆ ราวกับเขากำลังขี่ม้านำขบวนส่งศพ หาใช่ขบวนรับเจ้าสาว
“ช่างเป็นคู่ที่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกโดยแท้” ชาวบ้านต่างพากันพูดคุย
“แต่มองดูแล้วท่านโหวยังด้อยกว่าเสี้ยนจู่ของพวกเราอยู่เล็กน้อย” อีกคนหันมาเอ่ยขัด “ข้าได้ยินว่าชาติกำเนิดหนิงอันโหวค่อนข้างต้อยต่ำ เป็นแค่บ่าวเลี้ยงม้าในจวนเจ้าเมืองโม่เป่ยเท่านั้น”
“แต่มิใช่ว่าท่านหญิงเป็นฝ่ายคอยตามตื๊อท่านโหวหรอกหรือ” ผู้ใดในเมืองเฉาหยางไม่รู้บ้างว่า ตั้งแต่หนิงอันโหวได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มาต้านศึกชาวตีที่ชายแดนตะวันตกเมื่อปีก่อน ท่านหญิงจ้าวรั่วถิงที่สองตาไม่เคยชายมองผู้ใดก็เอาแต่ไล่ตามตื๊ออีกฝ่ายไม่ลดละ ชวนให้ผู้อื่นขบขันยิ่งนัก
คนฟังต่างพากันพยักหน้าเมื่อเห็นเจ้าบ่าวขี่ม้านำขบวน ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าสมเป็นจอมทัพ ใบหน้าแม้จะติดบึ้งตึงเย็นชา แต่ยังคงหล่อเหลาคมคาย บ้านใดมีบุตรสาวย่อมต้องอยากได้เขาเป็นลูกเขย ทั้งหน้าตาและความสามารถล้วนไม่มีบุรุษใดทัดเทียม
“ใช่ๆ หากข้ามีบุตรสาวก็ต้องอยากให้แต่งกับคนหนุ่มอนาคตไกลเช่นนี้ ชาติกำเนิดต้อยต่ำแล้วอย่างไร ไม่ใช่ท่านโหวสามารถตัดคอขุนศึกของพวกซงหนูได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบหกหรอกหรือ คนเช่นนี้หากไม่ตะครุบไว้ เจ้าจะปล่อยให้ไปเป็นเขยบ้านอื่นหรือไร”
“อายุสิบหกสร้างความดีความชอบ อายุสิบแปดสามารถใช้สี่ตำลึงปัดพันชั่ง9 อาศัยกำลังทหารไม่กี่ร้อยคนต้านทัพใหญ่บนประตูเมืองได้เป็นเวลาสองเดือนเพื่อรอกำลังสนับสนุน ต่อมายังไล่เข่นฆ่าทหารชาวซงหนูหลายพันคนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพ อายุยี่สิบปีนำทหารเพียงหมื่นขับไล่ชาวซงหนูให้ออกห่างกำแพงเมืองนับร้อยลี้10จนได้รับพระราชทานตำแหน่งโหว ได้ข่าวว่าสมญาหนิงอันนี้ไทเฮาทรงเป็นผู้พระราชทาน นับว่าเป็นคนหนุ่มอนาคตไกลโดยแท้ น่าเสียดายๆ” คนพูดเอ่ยพลางส่ายหน้า
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสียดายนี้หมายถึงสิ่งใด แต่ใครจะกล้าป่าวประกาศเล่าว่าท่านหญิงของพวกเขานั้น นอกจากร่ำรวยเงินทอง ความสามารถต่างๆ ล้วนไม่ได้ความ ไม่ว่างานเลี้ยงชมบุปผาครั้งไหนก็ไม่เคยสร้างผลงานใดๆ นอกจากความวุ่นวาย
ทว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมองว่าคนของตนเองดีที่สุด ไม่รู้เสี้ยนจู่บ้านอื่นเป็นอย่างไร แต่ท่านหญิงของพวกเขานอกจากดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง ก็ไม่เคยระรานผู้ใดก่อน ตั้งแต่เฉิงอ๋องสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อ แถบซีเป่ยก็มีแต่เจริญรุ่งเรือง ไม่เหมือนหัวเมืองอื่นๆ ที่นับวันยิ่งแร้นแค้น
มือที่กำสายบังเหียนม้ากระชับแน่นขึ้น มุมปากของเสิ่นเลี่ยงหรงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน สายตามองทะลุผ่านสีแดงที่ตกแต่งทั่วทั้งท้องถนนไปยังอดีตเมื่อสิบปีที่ผ่านมา หลังได้รับการปลดปล่อยเขาก็พามารดาบ่ายหน้าขึ้นเหนือ มิได้หวังพึ่งพาญาติพี่น้องฝั่งมารดาเพราะไม่ต้องการนำความเดือดร้อนไปสู่ผู้ใด เขาเช่าห้องเล็กๆ ให้มารดา ขณะที่ตนเองทำงานเป็นบ่าวเลี้ยงม้าในจวนเจ้าเมืองโม่เป่ย จนจับพลัดจับผลูได้เข้าร่วมกองทัพ
ปีนั้นเขายังเป็นทหารแนวหน้า ไล่ล่าพวกซงหนูเข้าไปถึงกลางทะเลทราย ทัพใหญ่ข่มขวัญจนทหารซงหนูหนีลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า แต่ทหารม้าโดยการนำของท่านแม่ทัพกลับหารังของพวกมันไม่พบ ในขณะที่เขาอาศัยว่าเคยเลี้ยงเหยี่ยวในจวนท่านเจ้าเมืองจึงสามารถฝึกมันให้บินตามเป้าหมายได้ หลังติดตามร่องรอยเล็กๆ ที่พวกมันทิ้งไว้ เขากับสหายร่วมรบก็ลอบบุกเข้าไปสังหารคนในกระโจมหลัก
เสิ่นเลี่ยงหรงอาศัยความว่องไวตัดคอขุนพลของชาวซงหนูมาได้
ถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพย่อมต้องเคยร่ำเรียนทั้งวรยุทธ์และตำราพิชัยสงคราม เมื่อหนทางเปิดโล่งย่อมไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้ง กองทหารม้าเหล็กที่เขาก่อตั้งขึ้นมาบุกทะยานเข่นฆ่าทหารชาวซงหนูจนเป็นที่เลื่องลือ เดิมทียังคิดว่าเส้นทางของตนคงมิมีทางหวนกลับมายังซีเป่ยอีกชั่วชีวิต ทว่าโชคชะตากลับยังคงเล่นตลก
จวนโหวตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนอ๋องเท่าใด ใช้เวลาไม่นานขบวนรับเจ้าสาวก็มาถึงที่หมาย ชายหนุ่มกระโดดลงจากม้าไปยืนคอยอยู่ด้านข้าง รอให้แม่สื่อเข้าไปประคองเจ้าสาวลงจากเกี้ยว
จ้าวรั่วถิงรับชายผ้าแดงที่แม่สื่อยื่นให้ ยืนสงบใจอยู่หน้าจวน เวลาผ่านไปช้าๆ ทุกคนต่างยืนชะเง้อคอคอย...