บทที่ 2 เจ้าต้องการสิ่งใด
คอยจนแม่สื่อร้อนรนเข้ามากระซิบข้างๆ เจ้าสาว
“เสี้ยนจู่ต้องก้าวข้ามกระถางไฟเจ้าค่ะ”
“อ้อ” นางรับคำหนึ่งเสียงแต่ไม่ขยับเท้า คราวนี้แม่สื่อร้อนใจจนเหงื่อกาฬไหลชุ่มศีรษะ จะมีผู้ใดขวัญกล้าบังคับคะคานท่านหญิงบ้าง สุดท้ายจำต้องบากหน้าหันไปหาเจ้าบ่าว เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ท่านหญิงน่าจะกลัวไฟเจ้าค่ะ”
เสิ่นเลี่ยงหรงจดจ้องใบหน้าใต้ผ้าคลุมด้วยสายตาเสียดแทงที่หากเปลี่ยนเป็นอาวุธคงปลิดชีพเจ้าสาวภายใต้กระบี่เดียว
สถานการณ์ตึงเครียดประหนึ่งกำลังคุมเชิงกับข้าศึกเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนที่รอคอยอยู่ด้านในเกิดความสงสัย
“ฮูหยินให้บ่าวมาสอบถามว่ามีปัญหาใดหรือไม่” สาวใช้จากด้านในก้าวออกมากระซิบถามแม่สื่อเสียงเบา แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นเขาย่อมได้ยินชัดว่ามารดากำลังร้อนใจ
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวตรงไปอย่างแข็งทื่อ ช้อนเอาตัวเจ้าสาวขึ้นอุ้มอย่างหยาบกระด้างขณะก้าวข้ามกระถางไฟด้วยท่าทางขอไปที ราวกับต้องการเร่งให้จบพิธีไวๆ บ่าวไพร่และทหารที่มาร่วมงานต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทั่วทั้งลานเงียบสงัดก่อนจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหยอกเย้า เอ่ยว่าเจ้าบ่าวใจร้อนยิ่งขณะยกขบวนตามหลังแม่ทัพใหญ่ที่ก้าวเข้าไปในโถงพิธีอย่างว่องไวราวโผทะยาน
ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมยกยิ้ม จ้าวรั่วถิงรู้ดีว่าควรกะเทาะเปลือกแข็งของอีกฝ่ายที่จุดใด หนึ่งคือจินซื่อ11ผู้เป็นมารดา และสองคือความใจอ่อนที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าว
การแต่งงานในวันนี้เดิมทีตัวเขาสามารถบ่ายเบี่ยงได้ เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้นภายในจวนอ๋อง สถานที่ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ย่างเท้าเข้ามาหากไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นการจะบีบบังคับให้ชายหนุ่มรับผิดชอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การหาพยานอย่างแนบเนียนไร้พิรุธยิ่งยากเข็ญเข้าไปใหญ่ แต่บิดาของนางก็หาใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เช้าตรู่วันถัดมาจึงให้บ่าวไพร่เร่งไปแจ้งจินซื่อที่เดินทางจากเมืองโม่เป่ยมาพักกับบุตรชายที่จวนโหวว่า องครักษ์จากจวนอ๋องบังเอิญช่วยเหลือหนิงอันโหวจากคนร้าย เนื่องจากเกรงว่าศัตรูจะย้อนกลับมา จึงตัดสินใจพาท่านโหวไปพักรักษาตัวที่จวนอ๋อง จินซื่อเป็นห่วงบุตรชายยิ่งจึงตรงดิ่งไปจวนเฉิงอ๋องโดยไร้พิธีรีตองใดๆ แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่า จะเจอบุตรชายตัวดีกำลังมุดอยู่ใต้ผ้าห่มของธิดาอ๋อง
จ้าวรั่วถิงที่แต่เดิมเป็นฝ่ายเริ่มกลับถูกแม่ทัพหนุ่มพลิกสถานการณ์ให้ตกเป็นรอง กลายเป็นฝ่ายถูกเคี่ยวกรำเสียเอง ค่ำคืนนั้นเสิ่นเลี่ยงหรงหาได้อ่อนโยนแม้แต่น้อย เนื้อตัวเปลือยเปล่าของนางที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาเต็มไปด้วยร่องรอยที่เขาฝากไว้ย่อมเป็นหลักฐานชั้นดีว่า
ท่านแม่ทัพใหญ่ดุดันเพียงใด
ยามนั้นจินซื่อถึงกับศีรษะโป่งพอง ตรงเข้าไปบิดหูแม่ทัพใหญ่พร้อมประกาศกร้าวว่า จวนโหวจะเร่งส่งแม่สื่อมาโดยไว กลับกลายเป็นเฉิงอ๋องที่ยิ้มร่า กล่าวว่าไม่ต้องเร่งรีบถึงเพียงนั้น...
แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ทั้งสองจวนก็แลกเปลี่ยนดวงชะตาแปดอักษรพร้อมหาฤกษ์ดีกำหนดวัน
ใช้เวลาเพียงสิบห้าวันงานแต่งอันยิ่งใหญ่ก็ถูกจัดขึ้น สินเดิมของเจ้าสาวมากมายก่ายกองที่มองอย่างไรก็ไม่น่าใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนจัดเตรียมได้นั้นกลับมีวางรอไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับเฉิงอ๋องได้ตระเตรียมการแต่งงานของบุตรสาวล่วงหน้าหลายปี
หรือที่ว่าท่านอ๋องรักใคร่ตามใจธิดาจนแม้กระทั่งอีกฝ่ายปีนขึ้นไปรื้อหลังคาบนจวนอ๋องได้จะใช่เรื่องจริง
พิธีการกราบไหว้ฟ้าดินผ่านไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค หลังพาบ่าวสาวเข้าสู่ห้องหอ ทำพิธีร่วมผูกผมเสร็จสิ้น แม่สื่อค่อยสามารถผ่อนลมหายใจออกมาได้
จวนหลักของหนิงอันโหวอยู่ที่เมืองโม่เป่ยในแดนเหนือ แต่หลังจากที่ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้เขายกทัพลงมาช่วยต้านชาวตีที่ซีเป่ย ท่านโหวก็ได้พากองทัพใหญ่ติดตามมาด้วย ในเมื่อสิ่งที่ซีเป่ยมั่งคั่งคือเงินตรา แน่นอนว่าจวนโหวที่เฉิงอ๋องจัดเตรียมไว้ให้ย่อมใหญ่โตกว้างขวาง สามารถรองรับแขกเหรื่อได้มากมาย ทหารใต้บังคับบัญชาในกองทัพพิทักษ์อุดรนั้นติดตามแม่ทัพใหญ่มาเกินครึ่ง ยิ่งเมื่อหนึ่งเดือนก่อนพวกเขาสามารถขับไล่ทหารตีให้ถอยร่นไปไกลกว่าร้อยลี้ วันนี้จึงมีทั้งแม่ทัพและขุนพลคนสำคัญตบเท้ามาร่วมงาน ประสานมือกันมอมสุราเจ้าบ่าว เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาดังมาถึงเรือนหลัง
“กินโจ๊กเม็ดบัวรองท้องก่อนนะเจ้าคะท่านหญิง” แม่นมฟางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ท่านหญิงน้อยของนางเคยอดข้าวปลาที่ไหน นี่ต้องตื่นขึ้นมาแต่งหน้าทำพิธีตั้งแต่เช้าตรู่ ป่านนี้ท้องคงว่างจนหิวมากเป็นแน่
จูอวี๋สาวใช้ขั้นหนึ่งรีบก้าวไปประคองเจ้าสาวก้าวมานั่งหน้าโต๊ะกลมที่มีอาหารรสอ่อนจัดเตรียมไว้ ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสำคัญ พวกนางย่อมไม่กล้าให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ดังนั้นอาหารรสจัดที่จ้าวรั่วถิงโปรดปรานจึงมิอาจนำขึ้นโต๊ะได้
แม่นมฟางเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกแล้วคาดคะเน “คงอีกนานกว่าท่านโหวจะกลับเข้ามา”
“ข้าว่าเขาคงปรารถนาจะนอนอยู่นอกโถงนั่นด้วยซ้ำ” จ้าวรั่วถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “แม่นมไม่ต้องถลึงตา ข้ามองไม่เห็นย่อมไม่รับรู้”
แม่นมฟางจนใจจะว่ากล่าว เสี้ยนจู่ของนางกำพร้ามารดาแต่เล็ก ไม่ว่าใครก็มิอาจตัดใจดุด่าเด็กหญิงตัวน้อยได้ เพราะเป็นเช่นนี้ท่านหญิงจึงเติบใหญ่มาอย่างไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าใด
“ฟังบ่าวสักคำนะเจ้าคะ” แม่นมว่าพลางส่งสายตา ชิวอวี๋สาวใช้คนสนิทก็ขยับไปแง้มประตู เอ่ยปากขอสิ่งของสองสามอย่างเป็นการไล่บ่าวไพร่ที่มาแอบสอดรู้สอดเห็น เมื่อชิวอวี๋เดินกลับมาอีกครั้ง แม่นมฟางจึงค่อยเอ่ยต่อ “เพราะพวกเราวางอุบายในครั้งนี้ ท่านโหวย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ต่อไปท่านหญิงจำต้องอดทนให้มากหน่อย บ่าวเชื่อว่าท่านโหวย่อมต้องเห็นความจริงใจของท่านเข้าสักวัน”
“ข้ารู้แล้วน่า”
คำว่า ‘รู้’ ของท่านหญิงนั้น คนสนิทฟังต่างรู้ว่าหมายถึงให้เจ้าเงียบปาก
สองสาวใช้ หนึ่งแม่นมได้แต่ทอดถอนใจโดยพร้อมเพรียง คนหนึ่งก็แข็งกร้าว อีกคนก็ดุดันเอาแต่ใจ การแต่งงานครั้งนี้ช่างชวนให้ผู้คนหวาดหวั่นนัก
กว่าเสิ่นเลี่ยงหรงจะย่างเท้ากลับเข้าห้องหอเวลาก็ล่วงไปถึงปลายยามโหย่ว12 ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาพร้อมกลิ่นสุราคละคลุ้ง ในขณะที่จ้าวรั่วถิงนั่งตัวตรงอยู่ริมเตียง ดวงตาคมทอดมองเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน ยิ่งนานประกายยิ่งคมกล้า โต๊ะด้านข้างมีคันชั่งวางไว้ แต่คนเมาหาได้ใส่ใจ เขาใช้มือหยาบกร้านที่ผ่านการจับอาวุธมานานเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้น
การเลือกที่จะไม่ใช้คันชั่งเกี่ยวผ้าคลุมหน้านั้นสื่อความหมายว่าเจ้าบ่าวไม่พึงใจในตัวเจ้าสาว แน่นอนว่าเขาจงใจแสดงให้นางได้ประจักษ์ว่าแม้แต่งเข้ามาได้ แต่การจะอยู่ต่อไปนั้นหาใช่เรื่องง่าย สตรีผู้ไม่เป็นที่พึงใจของสามีย่อมไร้ฐานะในบ้าน
จ้าวรั่วถิงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพลางหัวเราะแผ่วเบา เสียงของนางกังวานใส พาให้บรรยากาศในห้องมีชีวิตชีวา
“เต็มใจหรือไม่ อย่างไรวันนี้ข้ากับท่านก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
แสงจากเทียนหงส์คู่มังกรส่องกระทบลงบนใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างประณีต เดิมทีจ้าวรั่วถิงยังมีความไร้เดียงสาตามประสาเด็กสาวอยู่บ้าง ทว่าวันนี้สาวใช้ทั้งหลายต่างบรรจงแต่งให้ใบหน้านี้งดงามเฉิดฉัน กระทั่งคนมองยังแทบหยุดหายใจ โดยเฉพาะรอยยิ้มอ่อนหวานดุจบุปผาบานสะพรั่งในวสันตฤดูที่ทำให้ดวงตาของเขาพร่างพรายไปชั่วขณะ
เสิ่นเลี่ยงหรงต้องใช้ความพยายามอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเบนสายตาออกจากใบหน้างามพิลาสตรงหน้าได้ ชายหนุ่มคิดว่าคงเพราะตนเองดื่มไปมาก นอกจากสายตาพร่าเลือนอยู่เล็กน้อย ในกายยังบังเกิดความร้อนขุมหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ลามจากท้องน้อย
จ้าวรั่วถิงเห็นอีกฝ่ายหันหน้าหนีคล้ายไม่อยากมองก็ให้รู้สึกน้อยใจอยู่ลึกๆ ทั้งๆ ที่ทำใจไว้แล้วว่าวันข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบากไม่ต่างจากการเดินบนพรมเข็ม แต่ใช่ว่าเข้าใจแล้วจะห้ามปรามความเจ็บปวดที่ผุดพรายขึ้นมาได้โดยง่าย นางจึงเลือกเป็นฝ่ายเดินไปรินสุรามงคลแล้วยื่นให้
“เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย” คล้องแขนดื่มสุรา
เจ้าบ่าวรับจอกสุราแล้วคล้องแขนไปอย่างส่งๆ เงยหน้ากระดกรวดเดียวจนหมดจอก สุรามงคลย่อมมีฤทธิ์อ่อนจางแตกต่างจากสุราในค่ายทหาร ทว่ากลับร้อนลวกราวกับจะเผาผลาญสติของเขาไปเสียสิ้น ยิ่งรวมกับกลิ่นหอมหวานของดอกท้อที่กำจายมาจากกายนาง เสิ่นเลี่ยงหรงก็พบว่าตนกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง
“อ้อ ยังเหลืออีกขั้นตอนหนึ่ง ข้าลืมไปได้อย่างไร” จ้าวรั่วถิงเห็นเจ้าบ่าวเอาแต่นิ่งงันจึงแสร้งร้องขึ้นมา ขยับเข้าไปใกล้เรือนร่างสูงใหญ่แล้ววางมือลงบนไหล่กว้าง เขย่งตัวขึ้นกระซิบชิดใบหูว่า “ค่ำคืนวสันต์มีค่าดั่งทองคำ”
ลมหายใจร้อนผ่าวที่ปัดผ่านพาให้หัวใจแกร่งคันยุบยิบประหนึ่งถูกอุ้งตีนแมวสะกิดเกา เสิ่นเลี่ยงหรงถอยหลังออกมาสองสามก้าวก่อนจะถลึงตามองนาง
“สตรีแพศยา”
“นั่นก็ใช่” จ้าวรั่วถิงยกยิ้มยั่วเย้า
“เจ้าคิดว่าแต่งเข้าจวนโหวมาแล้วจะมีประโยชน์อันใด คิดว่าข้าจะแตะต้องเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นมาพนันกันดีหรือไม่” ท่านหญิงน้อยว่าพลางกรีดนิ้วล้วงเอาบางอย่างออกมาจากอกเสื้ออย่างแช่มช้า “ในเมื่อมั่นใจว่าเกลียดข้าจริงๆ เช่นนั้นภายในสามปีนี้ท่านต้องนอนร่วมห้องกับข้า หากครบกำหนดสัญญาแล้วข้าทำให้ท่านเปลี่ยนใจไม่ได้” มือเล็กยื่นม้วนกระดาษไปตรงหน้าเขา “ท่านสามารถหย่าข้าได้ทันที”
ชายหนุ่มคว้าเอาม้วนกระดาษตรงหน้ามาอ่าน ด้านในเป็นหนังสือหย่าที่นางลงลายมือไว้จริงๆ ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าถามนางด้วยความสงสัย
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
นิ้วมือเรียวยาวขยับวาดเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะหยุดลงบนหน้าอกแกร่งด้านซ้าย “หัวใจท่าน”
จ้าวรั่วถิงเงยหน้าจดจ้องชายที่ตนรักสุดหัวใจด้วยดวงตางดงามระยิบระยับดั่งมหาสมุทรดารา
เสิ่นเลี่ยงหรงจ้องตอบพลางยกยิ้มถากถาง “เจ้าฝันกลางวันอยู่กระมัง”
“เช่นนั้นท่านก็รับคำท้าของข้าสิ” นางยกปลายคางขึ้นพลางเบิกดวงตากลมโตจ้องอีกฝ่ายอย่างท้าทาย “หรือท่านไม่กล้า แค่สามปีเท่านั้นที่ข้าจะกักตัวท่านไว้”