บทที่ 5 เขาเขียวคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา
เนื่องจากเอาแต่ก้มหน้าสงบใจ จ้าวรั่วถิงจึงมิอาจสังเกตเห็นท่าทางของสตรีตรงหน้าเหมือนเหล่าสาวใช้ที่ต่างรอดูปฏิกิริยาของผู้เป็นนาย
จินซื่อก้มมองสองหนุ่มสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน พาให้บรรยากาศเคร่งขรึมแต่เดิมผ่อนคลายลง หลังรับถ้วยน้ำชามาจิบแล้วจึงยื่นมือไปตบลงบนหลังมือขาวเนียนของลูกสะใภ้เบาๆ
เดิมทีจ้าวรั่วถิงยังหวาดเกรงว่าแม่สามีจะแสดงความรังเกียจตนอย่างโจ่งแจ้ง แม้ที่ผ่านมานางจะพยายามประสานรอยร้าวมากเพียงใด แต่จินซื่อเพียงตอบกลับมาอย่างเฉยชาเท่านั้น ไม่คิดว่าที่พยายามลงแรงมาหลายปีนี้จะประสบผลในที่สุด ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่เก็บกดมาหลายปีพลันเอ่อท้นจนหัวตาร้อนผ่าว ผสานกับความอบอุ่นจากฝ่ามือนุ่มที่มีรอยหยาบกร้านบางๆ ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ สุดท้ายจึงมิอาจห้ามน้ำตามิให้ไหลริน
“ท่านป้า...” เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย ครั้นเรียกออกไปแล้วก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อ ได้แต่ก้มหน้าปล่อยให้หยาดน้ำตาหยดลงบนเบาะเงียบๆ
จินซื่อก้มหน้ามองบุตรสาวของศัตรูแล้วพลันย้อนคิดถึงปีนั้นที่สามีจากไป นึกถึงความวุ่นวายในบ้านเมืองที่ไม่ว่าจะบ่ายหน้าไปทางไหนก็ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ นางเกรงว่าหากหวนคืนตระกูลเสิ่นที่เมืองหลวงจะยิ่งนำหายนะไปสู่วงศ์ตระกูลของสามี ตัวนางยามนั้นได้แต่พาบุตรชายเดินทางกลับบ้านเดิม แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับไม่มีความกล้าจะก้าวเข้าจวน สุดท้ายจึงพากันไปตั้งหลักที่เมืองโม่เป่ย ตอนนั้นเป็นตายอย่างไรบุตรชายก็ไม่ยอมให้นางต้องทนลำบาก ยอมขายตัวเป็นบ่าวเลี้ยงม้าหาเงินมาเลี้ยงดูมารดา แต่ทุกอย่างหาใช่เรื่องง่าย ตัวนางที่เป็นฮูหยินตระกูลใหญ่ไหนเลยจะเคยต้องลงมือทำงานหนักด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็คงไม่ลำบากกว่าการต้องไปเป็นทาสใช้แรงงานหนัก
เขาเขียวคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา16
หากไม่ได้เด็กน้อยตรงหน้าช่วยไว้ เกรงว่าพวกตนสองแม่ลูกยามนี้คงจะไม่เหลือลมหายใจอยู่บนโลกแล้ว
เรื่องราวบุญคุณความแค้นนั้น หากต้องแยกแยะจริงๆ เด็กสาวคนหนึ่งก็ไม่ควรต้องแบกรับเคราะห์กรรมที่ผู้อื่นทำไว้
“ท่านป้าอะไรกัน” น้ำเสียงของจินซื่ออ่อนโยนประดุจสายน้ำ “ต่อไปต้องเรียกข้าว่าท่านแม่แล้ว”
จ้าวรั่วถิงเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ผงกศีรษะเบาๆ ไม่เอ่ยวาจา ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นช่างชวนให้คนมองหัวใจอ่อนยวบ
“ลุกขึ้นมาเถอะ เบาะเย็นหมดแล้ว ไม่ดีต่อร่างกายเจ้า”
จ้าวรั่วถิงหันไปรับรองเท้าปักพื้นนุ่มจากจูอวี๋แล้วยื่นส่งให้เหนือศีรษะ จินซื่อก้มมองรองเท้าตามธรรมเนียมคู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งสว่างไสว นางมองเห็นความจริงใจผ่านรอยฝีเข็มที่หาได้ประณีตงดงามดั่งงานฝีมือชั้นสูงที่เคยผ่านตา ทว่าทุกๆ รอยเย็บฝีมือธรรมดาสามัญ หรือกระทั่งค่อนข้างจะบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นั้นแสดงออกถึงความอุตสาหะ แม้คนทำไม่มีพรสวรรค์ แต่ความพยายามกลับเต็มเปี่ยม
เสิ่นเลี่ยงหรงยืดตัวเหยียดแผ่นหลังตรงประดุจพู่กันปรายตามองของในมือมารดา เดิมทียังนึกว่านางจะเลือกหยกสลักสูงค่า ไม่คิดว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์จะแสดงความจริงใจด้วยการปักรองเท้าให้มารดาของเขาตามธรรมเนียม นับว่าหนึ่งวันที่ผ่านมานางสร้างความแปลกใจให้ไม่น้อย
ถึงแม้ฝีเข็มตรงหน้าจะห่างไกลจากคำว่างดงาม ทว่านี่กลับเป็นเครื่องยืนยันว่านางทำทุกอย่างด้วยตนเอง
จินซื่อใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไหมปักบนรองเท้าอยู่นานราวกับไม่อาจตัดใจ ก่อนจะส่งให้สาวใช้นำไปเก็บรักษา
“ก่อนเดินทางมาเฉาหยาง แม่ไปไหว้พระขอพรที่วัดต้าหลงจึงถือโอกาสขอยันต์คุ้มภัยจากไต้ซือโหลว” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้พลันเงียบเสียงไป นางมักตั้งโรงทานบริจาคเงินทำบุญเป็นประจำ แม้หน้าที่ของแม่ทัพคือการปกปักรักษาดินแดน แต่อย่างไรก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นางอยากช่วยผ่อนผลกรรมที่เขาต้องแบกรับไว้ ยิ่งยามเมื่อบุตรชายต้องออกนำทัพ นางจะขึ้นเขาไปถือศีลกินเจอยู่ในวัดเป็นเวลานาน เดิมทีวันนั้นนางเพียงจะขอยันต์คุ้มภัยให้บุตรชาย ไม่คาดว่าไต้ซือโหลวกลับมอบยันต์สองแผ่นให้มาพร้อมเอ่ยวาจาอย่างคลุมเครือ ครั้นจำต้องหาของมารับขวัญสะใภ้ นางจึงเข้าใจความหมายของยันต์แผ่นนี้ได้โดยทันที
หลังมอบถุงผ้าประณีตงดงามที่ด้านในบรรจุยันต์คุ้มภัยให้หนุ่มสาวแล้ว จินซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเจ้าคงหิวเต็มที” จากนั้นจึงให้สาวใช้ประคองลุกขึ้นเดินนำผ่านฉากกั้นไปยังห้องอาหารที่ถูกจัดแยกไว้ไปทางปีกตะวันตก
จ้าวรั่วถิงยื่นมือให้จูอวี๋ประคองลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยท่าทางสง่างาม นอกจากดวงตาแดงระเรื่อก็หาได้มีร่องรอยหลงเหลือว่าเมื่อครู่นางเพิ่งหลั่งน้ำตา สมกับตำแหน่งเสี้ยนจู่ผู้แข็งกร้าวแห่งซีเป่ย
โต๊ะกลมมีอาหารวางไว้หลากหลาย เก้าอี้ถูกจัดไว้ตามจำนวนเจ้านาย แต่จ้าวรั่วถิงเมื่อก้าวเข้ามาถึงกลับเดินไปยืนด้านข้างของแม่สามี มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับตะเกียบของจินซื่อพลันชะงัก เมื่อหันไปเห็นลูกสะใภ้ยืนในตำแหน่งที่พร้อมปรนนิบัติพลันเข้าใจ ครั้นปรายตามองไปยังบุตรชายก็เห็นอีกฝ่ายหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ มุมปากของผู้สูงวัยจึงยกขึ้นจางๆ นางไม่คิดเลยว่าบุตรชายที่ดูเคร่งขรึมจะมีมุมเล็กๆ ที่ชอบแกล้งเด็กผู้หญิงซุกซ่อนอยู่ อาจเพราะเขาถูกสภาพแวดล้อมบังคับให้เติบใหญ่เร็วกว่าเด็กทั่วไป อายุสิบห้าต้องเริ่มเข้าสู่สนามรบฆ่าฟันศัตรู เมื่อตำแหน่งในกองทัพขยับขึ้นสูง หน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ จึงถาโถมเข้าใส่ หลายปีมานี้นอกจากพูดจาหยอกล้อให้นางสบายใจ จินซื่อก็แทบไม่เคยเห็นบุตรชายยิ้มให้ใครอีกเลย
“มานั่งกินด้วยกันเถอะ ไม่ต้องคอยปรนนิบัติข้าหรอก” ว่าพลางหันไปจูงมือลูกสะใภ้มานั่งข้างๆ
จ้าวรั่วถิงเดินตามอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เรื่องทรมานร่างกายนั้นนางไม่ถนัดจริงๆ หากนั่งได้คนเราไหนเลยจะยอมยืน แต่ท่าทางภายนอกที่แสดงออกล้วนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังแอบชำเลืองมองสามีคล้ายกริ่งเกรงอยู่ในที
เสิ่นเลี่ยงหรงมีหรือจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายแสร้งทำเป็นยำเกรงเขาเท่านั้น ท่าทางหวาดหวั่นที่แสดงออกมาไม่ต่างอันใดกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ห่มหนังแกะ แต่เมื่อเห็นมารดาสบายใจ เขาจึงไม่อยากเอ่ยปากทำลายบรรยากาศสงบสุขอันหาได้ยากยิ่งนี้ สุดท้ายอาหารเช้ามื้อแรกจึงผ่านไปอย่างราบรื่น
จินซื่อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับบุตรชายและสะใภ้ต่ออีกครู่ค่อยปล่อยตัวพวกเขากลับเรือน ส่วนตนเองตั้งใจจะเอนหลังพักผ่อนแล้วค่อยออกไปดูแลสวนด้านหน้า เมื่อออกจากเรือนประสานใจชายหนุ่มจึงแยกออกไปทางห้องหนังสือในเรือนหน้า ขณะที่จ้าวรั่วถิงส่งมือให้จูอวี๋ช่วยประคองกลับเรือน เพิ่งก้าวผ่านสวนตรงกลางที่เชื่อมต่อกับเรือนต่างๆ พลันได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานของสาวใช้ลอยมาตามสายลม
“เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อคืนท่านโหวไปค้างที่ห้องหนังสือจริงๆ เห็นทีข่าวลือว่าเฉิงอ๋องบังคับให้ท่านโหวแต่งงานกับเสี้ยนจู่จะเป็นเรื่องจริง”
“หากเป็นข้าคงอับอายจนผูกคอตายเป็นแน่ สามีรังเกียจถึงเพียงนี้ยังกล้าเชิดหน้าอยู่ได้ยังไง หน้าหนาเกินทนเสียจริง”
จ้าวรั่วถิงได้ยินดังนั้นพลันเอ่ยตอบอย่างแช่มช้า ทว่าแฝงด้วยอำนาจกดข่มที่บ่มเพาะมานานปี
“หน้าของข้าไม่ได้วางอยู่บนคอของพวกเจ้าเสียหน่อย ไยจึงพากันเดือดร้อน”
สาวใช้สองสามคนที่นินทาอยู่รีบพากันคุกเข่าก้มหน้าแต่หาได้หวาดกลัวจริงๆ ไม่ ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นสาวใช้ที่ติดตามจินซื่อมาจากโม่เป่ย สะใภ้ที่ไม่ได้รับความโปรดปรานอย่างท่านหญิงจะหาญกล้าหักหน้าแม่สามีได้อย่างไร
จูอวี๋ขยับเข้ามากระซิบผู้เป็นนาย “สาวใช้เหล่านี้ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ามาจากเมืองโม่เป่ยเจ้าค่ะนายหญิง”
“อ้อ ข้าเพิ่งรู้ว่าสาวใช้เมืองโม่เป่ยมีธรรมเนียมชอบนินทาเจ้านาย แต่ไม่ว่าพวกเจ้าเคยทำเช่นไรมา อยู่กับข้าต้องทำตัวให้ถูกต้อง ข้าจะถือเสียว่านี่เป็นความผิดครั้งแรกจึงละเว้นโทษไม่ขายทิ้ง” จากนั้นจึงหันไปสั่งสาวใช้ลำดับสองคนหนึ่งด้านหลัง “ให้พวกนางนั่งคุกเข่าสำนึกผิดสองชั่วยาม เจ้าเฝ้าไว้ก็แล้วกัน” เอ่ยจบจึงสะบัดหน้าจากไปเหลือทิ้งไว้เพียงสีหน้าตกตะลึงของสาวใช้ที่ถูกทำโทษ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่เห็นว่ามีคนโง่เขลาวิ่งชนหน้าผาก็พากันหัวเราะ พวกเขาเติบโตมาในเขตซีเป่ย กิตติศัพท์ความชั่วร้าย... เอ่อ ความน่าเกรงขามของเสี้ยนจู่นั้นถูกเล่าลือไปไกล ตนเองเป็นแค่สาวใช้ ริอ่านยั่วโทสะเทพโรคระบาดผู้นี้ ขนาดเจ้าเมืองใต้อาณัติยังเคยถูกท่านหญิงปีนศีรษะมาแล้ว
“ส่งคนไปบอกท่านแม่สักคำว่าข้าลงโทษสาวใช้เหล่านั้น” จ้าวรั่วถิงเอ่ยปากบอกสาวใช้หลังเดินกลับมาถึงเรือน เดิมทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ควรจะอดกลั้นไว้ แต่นี่ไม่ใช่นิสัยของนาง คนเราย่อมมีขีดความอดทนที่แตกต่างกัน สำหรับเสิ่นเลี่ยงหรงผู้เป็นสามีนั้น นางยอมถอยให้เขาได้สามก้าว ทว่าบ่าวไพร่พวกนั้นหาใช่คนที่นางควรถนอมน้ำใจ หากไม่ทำโทษให้หลาบจำย่อมมีครั้งหน้า อีกทั้งยังทำให้บ่าวไพร่คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง นางเองก็คร้านจะเสียเวลามาจัดการเรือนใน