บทที่ 4 ข้าเปล่าเสียหน่อย
บรรยากาศการเฉลิมฉลองชื่นมื่นที่เมืองเฉาหยางช่างแตกต่างกับความกระวนกระวายใจของผู้คนในเมืองโม่เป่ยที่ได้รู้ข่าวว่าท่านโหวของพวกเขาถูกท่านหญิงแห่งซีเป่ยล่อลวง
“คุณหนูเจ้าคะ” จิงอี่ขยับเข้าหาเจ้านายด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “วันนี้น่าจะใช่วันแต่งงานของท่านโหวนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินคนข้างนอกลือกัน” แม้เมืองโม่เป่ยจะอยู่ห่างจากเฉาหยางนับพันลี้ ทว่าข่าวเรื่องการแต่งงานของหนิงอันโหวกลับแพร่กระจายอย่างว่องไว ขอเพียงเป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเขา ผู้คนในเมืองโม่เป่ยต่างพากันสนใจใคร่รู้ เหมือนกับเมื่อหนึ่งปีก่อนที่มีข่าวว่า ท่านหญิงจ้าวรั่วถิงหลงใหลใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางงามสง่าของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น
“อืม” ไป๋ลู่เอินลูบขอบหน้าต่าง เงยหน้ามองจันทราเต็มดวงบนท้องนภา กระทั่งท้องฟ้าและหมู่ดาวยังเป็นใจให้พวกเขา “ไต้ซือได้ส่งคนมาแจ้งข้าโดยตรงว่า ดวงชะตาของพวกเขาสมกันดั่งหงส์เคียงมังกร ฤกษ์แต่งงานนับว่าเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดในรอบร้อยปี หากคนธรรมดาแต่งกันในวันนี้จะเป็นการฝืนดวงชะตาไม่อาจข่มอำนาจฟ้าดินเป็นเหตุให้เกิดเรื่องอัปมงคล แต่หากเป็นผู้มีบุญวาสนาแล้วนั้น...” หญิงสาวเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยต่อ
“ท่านโหวย่อมเป็นมังกรในหมู่ชน แต่เสี้ยนจู่อะไรนั่นจะใช่หงส์แน่หรือเจ้าคะ บ่าวว่านางก็เป็นแค่สตรีหน้าด้านไร้ยางอายที่หลงใหลเพียงความงามสง่าของท่านโหวเท่านั้น เป็นแค่คางคกริอ่านกินเนื้อหงส์ฟ้า” จิงอี่ว่าอย่างกระแทกกระทั้นปั้นปึ่ง “ในโม่เป่ยมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่า คนที่อยู่ในใจท่านโหวคือคุณหนูต่างหาก บ่าวว่านางต้องใช้วิธีสกปรกบีบบังคับท่านโหวเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“อาอี่! ต่อไปอย่าเอ่ยเช่นนี้ให้ผู้ใดได้ยินอีกเชียว” ไป๋ลู่เอินหันมาห้ามปรามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมที่นานๆ ครั้งจะแสดงออกมา
สาวใช้เห็นคุณหนูโกรธขึ้นมาจึงได้แต่ก้มหน้ารับคำเสียงเบา ทว่ายังมิวายเอ่ยต่อ “มีแต่คุณหนูเท่านั้นที่คู่ควรกับท่านโหว”
“มิใช่ว่าเมื่อก่อนเป็นเจ้าหรอกหรือที่เอ่ยว่าเขาคิดจะกินเนื้อหงส์ฟ้า...” ไป๋ลู่เอินว่าพลางมองฝ่าความมืดไปไกล ราวกับกำลังย้อนไปถึงครั้งแรกที่ได้เจอเด็กหนุ่มคนนั้นที่คอกม้า นางรู้ว่าเขาจะต้องไปได้ไกลกว่าที่ทุกคนคาด และเสิ่นเลี่ยงหรงก็ไม่ทรยศต่อความเชื่อใจของนาง
“ก็...ก็ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนเลี้ยงม้านี่เจ้าคะ อีกอย่างยังกล้าคิดจะหยามเกียรติคุณหนู แม้...แม้ตอนหลังความจริงจะเปิดเผยออกมาว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ตาม แต่ยามนั้นไม่ว่าผู้ใดคงไม่อาจมองเขาในแง่ดีได้” จิงอี่ว่าด้วยท่าทางอับอาย “หากตอนนั้นคุณหนูไม่ห้ามคุณชายใหญ่ไว้ บ่าวไพร่ต้องโบยเขาจนตายแน่เจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่เพียงอิจฉาในความสามารถของเขาจึงยกเอาเหตุมาอ้างเพื่อลงมือ ตนเองเป็นถึงลูกเจ้าเมือง แม้เป็นบุตรที่เกิดจากอนุ แต่ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายใหญ่ กลับพ่ายแพ้ให้แก่คนเลี้ยงม้าที่อายุน้อยกว่าตน มีหรือจะไม่อับอาย”
“มาตอนนี้คุณชายใหญ่หวาดกลัวท่านโหวจนหัวหด เจอท่านโหวที่ใดเป็นต้องกระโดดหลบเหมือนกระต่ายเจอพยัคฆ์ ช่างชวนให้ผู้คนขบขันนัก” จิงอี่นึกถึงเรื่องราวต่างๆ พลันหัวเราะออกมา “เรื่องพวกนี้ก็มีแต่คุณหนูที่คอยอยู่เคียงข้างท่านโหวเท่านั้นที่รู้ ถึงอย่างไรบ่าวก็เชื่อว่าในใจท่านโหวมีแต่ท่าน คุณหนูอย่าได้เศร้าใจไปเลยนะเจ้าคะ”
“ในใจเขามีแต่ข้า...เช่นนั้นหรือ” ไป๋ลู่เอินเงยหน้ามองจันทร์ ราวกับต้องการเอ่ยถามเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ว่าใช่ความจริงหรือไม่
แต่นอกจากเสิ่นเลี่ยงหรงแล้ว ใครก็ไม่อาจตอบได้
จ้าวรั่วถิงถูกเสียงความเคลื่อนไหวปลุกขึ้นมาจากนิทราอันแสนสงบ ปรือตามองไปทางต้นเสียง ริมฝีปากเล็กกำลังจะขยับเอื้อนเอ่ยคำด่าว่าผู้ใดขวัญกล้าบังอาจมาทำเสียงดัง ครั้นสบเข้ากับดวงตาคมดุคู่นั้น ประสาทรับรู้ทุกอย่างพลันประทับเข้าร่าง หญิงสาวกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งราวกับถูกไขลาน
“ท่านพี่...ตื่นเช้า เอ๊ะ...” นางมองอีกครั้งจึงเห็นว่าเขาคล้ายเพิ่งกลับเข้ามาในห้อง
“มิใช่เมื่อคืนเจ้าเพิ่งรับปากว่าจะตื่นก่อนหรือไร” เขาปรายตามองผ้านวมที่กองสุมกันเป็นก้อนกลม
จ้าวรั่วถิงก้มหน้าเบ้ปาก หลังฟาดฟันแม่ทัพใหญ่ในใจไปหลายยก ค่อยก้าวลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยหาใช่เหน็บแนม
“ท่านพี่ตื่นเช้าถึงเพียงนี้มีเรื่องด่วนหรือเจ้าคะ” ไม่ใช่ต้องตื่นไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเสียเมื่อไหร่ เขาจะเร่งตื่นแข่งกับเสียงไก่ขันไปไย
“ข้าตื่นเวลานี้เพื่อฝึกหมัดมวยทุกวัน”
แปลความหมายสั้นๆ ได้ว่า นางต้องตื่นตาม
ย่ามันเถอะ!
เสิ่นเลี่ยงหรงไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ทำเพียงยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตาไปไกล
นี่นางต้องเดาใจใช่หรือไม่...จ้าวรั่วถิงมองซ้ายมองขวา มองขวามองซ้าย สุดท้ายเมื่อทำความเข้าใจได้ค่อยเดินหายไปหลังฉากกั้น รื้อๆ ค้นๆ ตู้ใส่ของ ฉวยเอาชุดสำหรับยิงธนูที่ปลายแขนเสื้อแคบ มีเชือกผูกปลายออกมาช่วยเขาแต่งตัว
ชายหนุ่มยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ไม่ไหวติง แต่สองตากลับแอบชำเลืองมองอย่างรอคอยว่านางจะทำผิดที่ส่วนไหน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชุดที่ค่อนข้างจำเพาะ หากไม่เคยเรียนรู้มาก่อนย่อมไม่อาจใส่ได้โดยง่าย จ้าวรั่วถิงถึงแม้ใช้เวลาค่อนข้างนาน มือเท้าติดจะงุ่มง่าม ปลายนิ้วของนางสั่นเล็กน้อยขณะค่อยๆ ผูกเชือกทบตรงปลายแขนเสื้อ แต่ชายหนุ่มกลับสามารถใจเย็นรอคอยได้อย่างน่าประหลาด มีเพียงหว่างคิ้วที่กดลึกและกลิ่นอายเยียบเย็นตามแบบฉบับของเขาซึ่งหญิงสาวมีภูมิต้านทานสูงยิ่ง ไม่รวมกับหนังหน้าที่หนากว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วท่านหญิงน้อยค่อยถอยหลังออกมามองผลงานตัวเองอย่างชื่นชม
สมกับเป็นสามีของนาง ช่างสง่างามเหลือเกิน
เสี้ยนจู่เอ่ยชื่นชมในใจโดยลืมเลือนไปว่า เมื่อคืนตนเองเป็นฝ่ายอยากถีบสามีรูปงามลงเตียง
หลังมองส่งผู้เป็นสามีที่สะบัดหน้าจากไปราวมีใครติดหนี้เขาหลายหมื่นตำลึง ท่านหญิงที่ยังสะลึมสะลือจึงค่อยลากขาเดินกลับไปยังเตียงกว้าง ก่อนจะชะงักฝีเท้าแล้วร้องเรียกเบาๆ
“จูอวี๋ ชิวอวี๋ ผู้ใดอยู่ด้านนอกเข้ามาหน่อย”
สาวใช้ทั้งสองเปิดประตูเข้ามาแผ่วเบา
“ยังไม่ต้องปรนนิบัติ ข้าอยากนอนต่ออีกสักหน่อย แต่...” หญิงสาวก้าวขึ้นเตียงแล้วคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง “เจ้าต้องปลุกข้าหลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ห้ามขาดห้ามเกินแม้แต่น้อย อ้อ แล้วเตรียมเครื่องแต่งกายของข้าไว้ ให้มั่นใจว่าพวกเจ้าสามารถช่วยข้าแต่งตัวได้เสร็จเรียบร้อยภายในครึ่งก้านธูป” จากนั้นก็ทิ้งศีรษะลงกับหมอนแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนตาย ทิ้งให้สาวใช้ทั้งสองได้แต่ยืนงงงวย
แต่คำสั่งท่านหญิงไม่อาจละเลย จูอวี๋หันไปมองสหายแล้วตั้งใจจะช่วยกันเก็บห้องหอให้เรียบร้อยและตระเตรียมทุกอย่างไว้ก่อนนายหญิงจะตื่น
“อีกเรื่องหนึ่ง” คนบนเตียงผงกศีรษะขึ้นมา “เสื้อผ้าเหล่านั้น...” นางชี้นิ้วไปยังชุดของผู้เป็นสามีที่ถูกถอดไว้เกลื่อนพื้น “ห้ามแตะต้อง เดี๋ยวข้าตื่นขึ้นมาจัดการเอง” จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนต่อพร้อมส่งเสียงกรนเบาๆ
จูอวี๋และชิวอวี๋ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย รอจนครบครึ่งชั่วยามแล้วจึงเดินไปปลุกเจ้านาย ไม่คาดว่าท่านหญิงที่ปกติมักนอนจนเลยยามซื่อ14จะสามารถตื่นได้ภายใต้การปลุกเพียงครั้งเดียว สงสัยคำกล่าวที่ว่า หญิงสาวจะเติบใหญ่หลังแต่งงานนั้นจะเป็นเรื่องจริง นี่เสี้ยนจู่ของพวกนางถึงขั้นให้ความร่วมมือในการแต่งกายโดยง่าย เมื่อก่อนนอกจากแสร้งนอนนิ่งเหมือนตาย...ก็ไม่เคยให้ความร่วมมือใดๆ เลย
“ให้คนไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านโหว อีกสักครู่เขาน่าจะกลับจากการฝึกวรยุทธ์แล้วกระมัง” นางชะโงกมองสีท้องฟ้าแล้วคาดคะเน
“เรื่องเมื่อคืนนี้...” จูอวี๋เอ่ยถามด้วยท่าทางลังเล “มิใช่แม่นมกำชับไว้แล้วหรือเจ้าคะว่าห้ามไม่ให้ท่านหญิงยั่วโทสะท่านโหว”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย” จ้าวรั่วถิงจ้องตอบสาวใช้ผ่านคันฉ่องด้วยท่าทางไร้ความผิด
“หากไม่ใช่แล้วเหตุใดท่านโหวถึงยังออกไปนอนที่ห้องหนังสือเล่าเจ้าคะ” จูอวี๋จัดปิ่นระย้าบนผมนุ่มสลวยที่เกล้าเป็นมวยทรงเมฆคล้อย
“อ้อ” จ้าวรั่วถิงรับคำเสียงหนึ่งก่อนจะส่งสัญญาณให้ชิวอวี๋พยุงนางลุกขึ้น “เขาออกไปตั้งแต่ยามใด”
นี่นางหลับหรือตายกันแน่นะ มิน่า...ตอนตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกว่าท่าทางของเขาเหมือนเพิ่งกลับเข้ามาในห้องมากกว่าเพิ่งตื่นนอนลุกออกจากเตียง
“น่าจะยามต้นจื่อ15 เจ้าค่ะ” จูอวี๋เป็นฝ่ายตอบเพราะเป็นช่วงเวรยามของตน
จ้าวรั่วถิงพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรให้มากความ เพราะหากพิจารณาอย่างถ้วนถี่ การทำเช่นนี้ต่างหากจึงจะสมเป็นเขา คนเราไม่ควรถูกบีบคั้นมากเกินไปจริงๆ
สาวใช้ทั้งสองไม่เห็นเจ้านายมีทีท่าเศร้าเสียใจจึงค่อยปล่อยวางความกังวลลงได้ การแต่งงานครั้งนี้มีแต่พวกนางเท่านั้นที่ร่วมมือกับท่านหญิง กระทั่งแม่นมฟางยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าคนที่บังอาจมัดมือท่านโหวติดหัวเตียงคือพวกนางสองคนนี่แหละ นึกกลับไปแล้วยังหวาดหวั่น แขนขาสั่นไม่หาย ยิ่งต้องเผชิญกับใบหน้าเคร่งขรึม ทั่วร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศเยียบเย็นของท่านแม่ทัพใหญ่ ให้รู้สึกว่าความลับน่ากลัวนี้ควรเก็บให้เน่าตายในท้องไปเสีย มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกนางคงถูกดาบเดียวฟันขาดสองท่อนเป็นแน่แท้
เสิ่นเลี่ยงหรงกลับเข้ามาพอดีกับที่จ้าวรั่วถิงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มไม่ปรายตามองนางด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นหญิงสาวที่เสนอหน้าเดินเข้าไปช่วยเขาเตรียมน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของสาวใช้ทั้งสอง
“เสื้อผ้าของท่านพี่ข้าเป็นคนเก็บลงตะกร้าเองกับมือ ไม่ยอมให้ผู้อื่นแตะต้องเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวเงยหน้า ใช้ดวงตากลมโตมองเขาราวกับกำลังร้องขอความดีความชอบก็ไม่ปาน
ท่านโหวหนุ่มมิได้เอ่ยอะไร เพียงยืนรอรับการปรนนิบัติของนางราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง ขณะที่สาวใช้อีกสองคนยามนี้ราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ท่านหญิงของพวกนางรู้จักดูแลผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ครั้นเหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาของนายท่าน จูอวี๋และชิวอวี๋ต่างก็รีบค้อมกายจากไปอย่างรวดเร็วราวฝ่าเท้าชโลมน้ำมัน
เสิ่นเลี่ยงหรงเลิกคิ้วมองดูภรรยาวุ่นวายช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว รู้ว่าชิ้นไหนสวมเช่นไร จับคู่เสื้อตัวนอกตัวในได้อย่างลงตัว นับว่าแปลกมากสำหรับท่านหญิงที่ไม่เคยหยิบจับสิ่งใดด้วยตนเอง กระทั่งตัวนางยังต้องเป็นธุระให้สาวใช้ช่วยจัดการ ดูอย่างเมื่อคืนนั่น แค่เช็ดผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเองนางยังใช้เวลาไปเสียครึ่งค่อนคืน
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ ปลุกเขาจากภวังค์
“อืม” ชายหนุ่มรับคำแล้วยกเท้าก้าวนำออกจากห้อง
ตั้งแต่ยกทัพมายังซีเป่ย เสิ่นเลี่ยงหรงก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าจวนโหวแห่งนี้มาก่อน เขารับพระราชโองการให้ยกทัพมาต้านชาวตีที่รุกรานชายแดนเพราะมุ่งหวังจะครอบครองเหมืองหยก จึงไม่สนใจจะเสพสุขอยู่ในเมือง หากไม่เป็นเพราะมารดาเดินทางมาเยือนหลังเอาชนะศึกใหญ่มาได้ ชายหนุ่มคงไม่มีทางย่างกรายเข้ามาในจวนที่ศัตรูจัดหาไว้ให้
ในใต้หล้ายามนี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่แคว้นคือ เว่ย สู่ โจว และจิ้น นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าที่ตั้งตนเป็นอิสระอีกมากมาย ทว่าเมื่อเปรียบเทียบแล้ว แคว้นเว่ยนับว่าถือครองอาณาเขตมากที่สุด เป็นแคว้นที่เคยเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ที่เอ่ยว่าเคยนั้นเพราะว่าสองสามรัชสมัยมานี้ หากฮ่องเต้มิได้ลุ่มหลงโคลงกลอนละเลยการทหารก็เอาแต่มั่วสุมสุรานารี ขึ้นภาษีจนประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าทำให้เกิดกบฏอยู่เนืองๆ โชคดีที่บ้านเมืองยังมีแม่ทัพมากฝีมืออยู่บ้าง ทว่าอดีตฮ่องเต้ทรราชเลอะเลือนหวาดกลัวว่าจะถูกแย่งชิงราชบัลลังก์จึงระแวงแม่ทัพใหญ่ที่มีกำลังทหารมาก เป็นเหตุให้แม่ทัพคนสำคัญถูกกำจัด ส่วนที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นมารับตำแหน่งใหม่นั้นก็ไร้ความสามารถ อีกทั้งยังลดทอนเบี้ยหวัดและยุทโธปกรณ์ รวมถึงมีการเล่นพรรคเล่นพวกกันอย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งหลังผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ฮ่องเต้ทรงพระเยาว์นัก เรื่องราวต่างๆ ล้วนมีไทเฮาเป็นผู้ว่าราชการหลังม่าน อำนาจในราชสำนักตกอยู่ในมือตระกูลฉีซึ่งเป็นตระกูลเดิมของไทเฮา กำลังทหารตกอยู่ในมือตระกูลฝูที่ไม่เคยนำทัพออกรบกับข้าศึกมาก่อน มีเพียงความดีความชอบเรื่องการปราบปรามกบฏชาวนา พวกเขาสวมเกราะถือดาบ แต่ชาวบ้านไม่มีอาวุธใดๆ
ตอนนี้สงครามชายแดนปรากฏอยู่เนืองๆ เหล่าอ๋องบรรดาศักดิ์ที่มีกำลังทหารต่างรอคอยโอกาสที่จะยื้อแย่งบัลลังก์มังกร แผ่นดินกำลังจะเข้าสู่กลียุค
จ้าวรั่วถิงย่อมรู้ดีว่าล้วนเป็นเพราะบ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย มิเช่นนั้นเป็นตายอย่างไรเสิ่นเลี่ยงหรงย่อมไม่มีทางรับพระราชโองการยกทัพมาช่วยเฉิงอ๋องต้านชาวตี
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างของสามีที่เดินนำโดยไม่สนใจจะรอนางแม้สักนิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดจึงมิได้เอ่ยเรียกไว้ ถึงอย่างไรจวนนี้นางก็เป็นคนจัดการออกแบบตกแต่งและเลือกข้าวของต่างๆ เองกับมือ แค่เดินไปยังเรือนประสานใจที่จินซื่อมารดาของเขาพักนั้น ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
เพียงผ่านประตูวงพระจันทร์เข้ามาก็พบกับสวนที่ประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณ ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นตระหง่านให้ร่มเงา ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ดอกไม้ต่างๆ ยิ่งแข่งขันกันอวดโฉมผลิบาน พาให้ทั่วบริเวณอบอวลไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมจรุง ประสานกับเสียงสายน้ำจากภูเขาจำลองและหมู่ภมรหลากสีที่บินมาดอมดมเกสร ชวนให้สวนหน้าเรือนประสานใจงดงามราวภาพวาดแดนสวรรค์
ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาด้านในเรือนกว้างใหญ่กลับพบว่าการตกแต่งในเรือนค่อนข้างเรียบง่ายสมถะ มารดาของหนิงอันโหวนั่งบนตั่งไม้คอยอยู่ก่อนแล้ว จินซื่อมีอายุราวสี่สิบปี ใบหน้าขาวสะอาดดูอ่อนกว่าวัยอยู่สักหน่อย ดูเหมือนความยากลำบากที่ผ่านมานอกจากจะสร้างความภูมิฐานและส่งเสริมสง่าราศีให้ กลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยตำหนิใดๆ ไว้ เพียงมองจากไกลๆ ยังเห็นว่าในอดีตคือโฉมสะคราญผู้หนึ่ง
เสิ่นเลี่ยงหรงที่มาถึงก่อนกำลังสนทนากับมารดาของเขาเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นการมาถึงของนางจึงก้าวถอยหลังมายืนหน้าเบาะรองเข่าที่วางไว้หน้าที่นั่งมารดา
จ้าวรั่วถิงก้าวไปคุกเข่าบนเบาะรอง โขกศีรษะคำนับเคียงข้างกับเขา จากนั้นจึงก้มหน้านิ่ง รอกระทั่งสาวใช้ข้างกายจินซื่อส่งถ้วยชาให้ จึงรับมายื่นส่งเหนือศีรษะให้ผู้เป็นแม่สามีอย่างเฝ้ารอ
นางรู้ดีว่าตนเองไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต แค่ยกเอาเหตุของการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมา ก็นับว่าเป็นสะใภ้ที่ทำให้แม่สามีรังเกียจเดียดฉันท์ตั้งแต่พบหน้า