ตอนที่ 3 แค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้
หนึ่งในชายหนุ่มที่เหลือเอ่ยขึ้น เมื่อสายตาของพวกเขา ดูจะไม่เป็นผลกับนางเท่าใดนัก หากนางรอดไปได้พวกเขาคงไม่อาจแบกรับความอับอายนี้ได้ สตรีบอบบางคนเดียวยังสยบไม่ได้ ใครหน้าไหนจะมากริ่งเกรงพวกเขากัน
อวิ๋นชีเงียบไม่เอ่ยตอบ เพราะตอนนี้สมองของนางกำลังคิดหาหนทางรอด อีกอย่างเท่าที่รับรู้ก่อนหน้า หญิงสาวคนนี้เป็นใบ้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเงียบนับว่าไม่แปลก
“ในเมื่อมอบความสุขให้ดี ๆ ไม่ชอบ เช่นนั้นพวกข้าไม่สนว่าเจ้าจะชื่นชอบความพร้อมเพรียงไหม!”
ชายหนุ่มทั้งสี่พุ่งเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว อวิ๋นชีเลือกที่จะตอบโต้ไปที่จุดสำคัญของมนุษย์ เพื่อให้ตนเองไม่เสียเปรียบจนเกินไป ด้วยร่างกายบอบบางแบบนี้ หากปะทะโดยไม่เลือกลงมือต่อจุดสำคัญของคู่ต่อสู้ ยากที่จะรับมือได้
ปึก! ครืน! ตุบ! ร่างบางเจ็บร้าวไปทั้งตัว เมื่อถูกเหวี่ยงทะลุผนังผุพังของวัดร้างออกมากองอยู่กับพื้นด้านนอก ร่างกายนี้ไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้ ยืนมาได้ขนาดนี้ถือว่าสุดยอดแล้ว
“ฮ่า ๆ คิดว่าฝีมือแค่ไก่กา จะทำอันใดพวกข้าได้เช่นนั้นรึ! คุณหนูใบ้ รู้ไหมทำไมไม่มีใครคิดตามหาเจ้าเลย เพราะเจ้ามันไร้ค่าอย่างไรเล่า เกิดมาสูงส่ง แต่กลับพูดไม่ได้ ต่อให้เจ้าตายก็หาได้มีใครเสียน้ำตาให้แม้แต่หยดเดียว ฮ่า ๆ”
แปะๆ เสียงปรบมือจากป่า ซึ่งอยู่ด้านข้างดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่หันไปยังที่มาของเสียงด้วยความแตกตื่น
“หึ ๆ พวกเจ้า ช่างเป็นบุรุษที่น่ายกย่องยิ่งนัก”
ร่างสูงของบุรุษวัยกลางคนได้ก้าวออกมา พร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะมองไปที่หญิงสาว ที่ลุกขึ้นยืนโอนเอนไปมา ตามเนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลอยู่หลายแห่ง
“ตาแก่! อย่าได้คิดจะสอดมือเรื่องผู้อื่น หาไม่แล้วจะมิได้แก่ตาย” หนึ่งในสี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
“เช่นนั้นรึ!”
ชายชรายังคงมีสีหน้าเบิกบานอยู่เช่นเดิม ก่อนจะหันไปยังหญิงสาวอีกครั้ง
“อยากให้ข้าทำเยี่ยงไรกับพวกเขาแม่หนูน้อย” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“...”
“ฮ่า ๆ นางเป็นใบ้จะบอกเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าอยากสอดมือนัก ข้าจะทำให้เจ้าได้จดจำนางเป็นภาพสุดท้ายก่อนตาย”
ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก เพื่อข่มขวัญคนแก่กับสตรีไร้วิชา
“เก็บไว้ก็รังแต่จะเผยความลับของข้า หากท่านผู้เฒ่าช่วยข้าได้จริง ทำให้มันหายไปได้หรือไม่เล่า”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาว แม้มันจะแหบแห้ง แต่กลับเด็ดเดี่ยว เป็นที่ถูกใจของชายวัยกลางคนยิ่งนัก ไหนจะแววตาและรอยยิ้มที่บอกชัด ว่านางไม่แยแสกับการที่เขาจะฆ่าใครต่อหน้านาง
ทางด้านชายหนุ่มทั้งสี่ต่างพากันแตกตื่น กับคำพูดของคุณหนูใบ้ที่อยู่ ๆ กลับพูดได้เสียอย่างนั้น แล้วนี่ยังคิดที่จะให้ตาแก่ไร้หัวนอนสังหารพวกเขาอีก นางไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าฆ่าพวกเขาได้ คนผู้นี้ก็ฆ่านางได้เช่นกัน
“พวกเจ้ารู้ใช่ไหม ว่าสิ่งใดคือการรักษาความลับได้ดีที่สุด”
ชายวัยกลางคนหันกลับไปถามคนทั้งสี่ ทว่า...ฟิ้ว! ฉึก ๆ ยังไม่ทันที่คนทั้งสี่จะได้ตอบ หรือขยับกายไปที่ใด อาวุธลับได้ปักเข้าที่ลำคอของพวกเขา พร้อมลมหายใจที่หายไปโดยมิทันตั้งตัว
อวิ๋นชียอมรับว่าคนตรงหน้าไม่ชอบพูดอะไรมาก พอบอกว่าจะฆ่าถามเสร็จลงมือโดยไม่คิดรอคำตอบ หากเป็นมิตรย่อมเป็นมิตรที่ล้ำค่า แต่หากเป็นศัตรูนับว่าสุดแสนจะอันตราย
“เป็นศิษย์ข้าไหม!”
เป็นคำถามที่ไม่ค่อยจะเหนือความคาดหมายเท่าไหร่ เพราะไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วยคน แล้วไร้ข้อแลกเปลี่ยน ไม่เงินก็ชีวิตหรือการผูกติดอะไรสักอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้ที่ยื่นมือช่วยต้องการ
“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก
“ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา”
อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี
“บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”
“ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์”