ตอนที่ 4 คุณชายหยางหงเจิน
ตอนที่ 4
คุณชายหยางหงเจิน
บริเวณชั้นสองของโรงน้ำชา บรรดาคุณชายจากจวนต่าง ๆ ที่มีเวลาว่างตรงกัน มักจะชักชวนกันมานั่งดื่มชา สนทนาเรื่องต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน และบทสนทนาของวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่เป็นเรื่องของคุณชายตระกูลหยาง ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่ม ที่ยังไม่ยอมออกเรือนเสียที
“หงเจิน เมื่อไรเจ้าจะหาสตรีมาอยู่เคียงข้างเสียที ในบรรดาสหาย พวกเราล้วนออกเรือนกันไปหมดแล้ว”
“นั้นนะสิ ไม่รู้จะครองตัวเป็นโสดไปด้วยเหตุใด”
“หรือว่าเจ้ายังไม่พบสตรีที่ถูกใจ”
สหายรักพากันหันมาให้ความสนใจ จ้องมองไปที่ร่างสูงเป็นตาเดียว ต่างเฝ้ารอคำตอบจากคนตรงหน้า
‘หงเจิน’ รองเจ้ากรมการคลังนั่งจิบช้าอย่างสบายอารมณ์มานาน พอบทสนทนาวกกลับมาหาเรื่องของตนเอง ก็รีบวางถ้วยชาลง มองตอบสายตาอยากรู้อยากเห็นของสหาย
“อาจจะใช่ ข้ามัวแต่ทุ่มเทกับการทำงานให้ราชสำนัก เลยไม่ค่อยได้พบเห็นสตรีมากเท่าพวกเจ้า เลยไม่รู้ว่าสมควรจะส่งเถ้าแก่ไปสู่ขอผู้ใด แล้วอีกอย่างท่านแม่ของข้าก็มอบให้ข้าตัดสินใจเรื่องคู่ครองเอาเอง ข้าจึงไม่เห็นว่าจะต้องรีบร้อนไปไหน เอาไว้พบเจอคนที่ถูกใจก่อนค่อยว่ากัน”
คุณชายคนหนึ่งได้ฟังเช่นนั้น ก็เสนอตัวช่วยให้เพื่อนลงจากคานด้วยความเต็มใจ “ให้ข้าช่วยหรือไม่ ในเมืองหลวงแห่งนี้หากอยากได้คุณหนูที่งดงามไม่เป็นสองรองใครละก็ ต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลเฟิง สองพี่น้องที่เลื่องชื่อว่างดงามที่สุดในเมืองหลวง แต่เมื่อเช้าข้าได้ยินข่าวลือมาว่า คุณหนูใหญ่เฟิงมีนิสัยร้ายกาจ ชอบรังแกน้องสาวต่างมารดา ต่างจากคุณหนูรองเฟิง ที่กิริยามารยาทงดงาม หนำซ้ำยังจิตใจดีมีเมตตา ดังนั้น ข้าคิดว่า คุณหนูรองเฟิงนี้แหละ เหมาะสมกับหงเจินของพวกเราแล้ว”
คุณชายอีกท่านหนึ่งยืนชมภาพผู้คนเบื้องล่างอยู่ริมระเบียง สายตามองเห็นสตรีสองนางที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของบรรดาสหายในกลุ่ม ก็เอ่ยขึ้นมา “นั่นคุณหนูสกุลเฟิงที่พวกเจ้ากำลังเอ่ยถึงมิใช่หรือ”
บรรดาคุณชายต่างพากันลุกออกจากโต๊ะ เดินไปยืนบริเวณระเบียงของโรงน้ำชา พากันมองลงไปเบื้องล่าง หยางหงเจินเองก็อยากจะรู้ ว่าสตรีสองนางที่สหายกล่าวถึง จะงดงามมากแค่ไหน จึงลุกขึ้นเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย...
ด้านล่างเฟิงลี่ฉีเดินนำสาวใช้ ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชาย ที่รีบนำเสนอขายสินค้าของตนเองทันที
“พี่สาว ช่วยอุดหนุนดอกไม้ของข้าหน่อยขอรับ ดอกไม้พวกนี้บ้านของข้าปลูกเอง ข้าอยากกินขนมเลยขอท่านแม่มาขายเองขอรับ”
“น่าสงสารจังเลย ถ้าอย่างนั้นข้าเหมาหมดนี้เลยแล้วกัน”
“จริงหรือขอรับ” เด็กชายฉีกยิ้มกว้าง ดีใจที่จะได้กินขนมเยอะ ๆ เพราะมารดาจำกัดการกินขนมของเขา เขาถึงต้องใช้วิธีนี้
เด็กหญิงที่นั่งขายผลไม้ป่าก่อนเด็กชายเสียอีก เห็นพี่สาวใจดี ยอมอุดหนุนดอกไม้ของเด็กชายจนหมด ก็รีบเอ่ยขึ้นมา สีหน้าแววตาของเด็กหญิงอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
“พี่สาว ช่วยอุดหนุนผลไม้ป่าของข้าบ้างเจ้าค่ะ ข้าจะนำเงินไปซื้อยาให้ท่านแม่ ท่านแม่ของข้าไม่สบาย”
ทั้ง ๆ ที่เด็กหญิงพูดเสียงดังกว่าเด็กชายเสียอีก ดูเหมือนเฟิงลี่ฉีจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร นางจ่ายเงินให้เด็กชายตามจำนวนแล้ว ก็รับตะกร้าดอกไม้ทั้งหมดมาให้สาวใช้ถือเอาไว้ แล้วก็เดินจากไปดูสินค้าอื่น ๆ ต่อ
ทางฝ่ายเฟิงลี่เยียนที่พบท่านหมอเรียบร้อยแล้ว ได้ยาทาตัวใหม่ ที่ทาแล้วไม่นานผดผื่นก็หายไป จึงเลิกใช้ผ้าคลุมใบหน้า เดินไปตามท้องถนน ตั้งใจจะไปบริเวณที่เป็นจุดซื้อขายทาส ตลอดทางที่เดินผ่านผู้คน ล้วนตกเป็นเป้าสายตาและการสุมหัวนินทาของคนที่ได้ยินข่าวลือ แต่นางก็ไม่สนใจ ผู้ใดอยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวนางก็ช่าง ขอแค่อย่ามาหาเรื่องนางตรง ๆ ก็พอ
พอเดินเข้ามาใกล้ก็เห็นน้องสาวต่างมารดากำลังซื้อดอกไม้ทั้งหมดจากเด็กชาย ที่ดูจากการแต่งกายก็รู้ ว่ามีอันจะกินอยู่บ้าง ต่างจากเด็กอีกคนที่น่าสงสารยิ่งกว่า แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ กระนั้นผู้คนกลับมองน้องสาวของนางด้วยแววตาชื่นชม
‘หึ!...คนพวกนี้แปลกจริง มองดูก็รู้ว่าเสแสร้งทำดีหวังสร้างภาพ’
เฟิงลี่เยียนหันไปกระซิบกับสาวใช้คนสนิท ก่อนจะหยิบยื่นถุงเงินส่งให้ ชิงชิงรับถุงเงินมา จากนั้นก็เดินไปหาเด็กหญิงผู้น่าสงสาร
“หนูน้อย ผลไม้ป่าพวกนี้ คุณหนูของพี่เหมาหมดเลย นี้จ๊ะเงินไม่ต้องทอนนะ”
เด็กหญิงดีใจยิ้มทั้งน้ำตา ที่จะมีเงินไปซื้อยาให้มารดาที่นอนป่วยมาหลายวันแล้ว เด็กหญิงรับเงินไป จับผลไม้ป่าใส่ถุงให้พี่สาว จากนั้นไม่ลืมที่จะยอบกายเคารพคุณหนูสูงศักดิ์ที่มีเมตตา แล้วรีบวิ่งไปที่ร้านขายยาทันที
ด้านเฟิงลี่ฉีที่เดินดูสินค้าจากร้านอื่นอยู่ ได้ยินเสียงสาวใช้ของพี่สาว เห็นพี่สาวยืนจ้องมองตนเองอยู่ ก็หันไปกระซิบกับสาวใช้คนสนิท แล้วฉีกยิ้มกว้างพากันเดินเข้าไปหา
“พี่หญิง มาเดินเที่ยวตลาดหรือเจ้าคะ ดีใจจังที่เจอพี่หญิงที่นี่” เสียงทักทายของหญิงสาวค่อนข้างดัง ทำให้ทุกสายตาหันมาจับจ้องมองสองพี่น้องอย่างสนใจ ต่างอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างข่าวลือหรือไม่
เฟิงลี่เยียนรีบถอยห่างจากหญิงสาวทั้งสอง ด้วยอีกฝ่ายมีตะกร้าดอกไม้อยู่ด้วย ชิงชิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเอาตัวเข้ามาขวาง เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณหนูรอง คุณหนูก็รู้ว่าคุณหนูของข้าแพ้เกสรดอกไม้ แล้วยังจะซื้ออีกหรือเจ้าคะ หนำซ้ำยังนำมาใกล้ขนาดนี้อีก”
เฟิงลี่ฉีหน้าซีด ดวงตาเบิกโพลง “ข้าลืมอีกแล้ว หมิงจูเจ้ารีบนำดอกไม้พวกนี้ไปทิ้ง” นางหันไปสั่งสาวใช้คนสนิท จากนั้นก็หันมาทางพี่สาว สีหน้าสำนึกผิด “พี่หญิง ข้าขอโทษ ข้าแค่สงสารเด็กคนนั้นก็เลยอุดหนุน ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับพี่หญิงเลยนะเจ้าคะ”
ลี่ฉีพูดยังไม่ทันขาดคำ สาวใช้ของนางก็สร้างเรื่อง เดินสะดุดขาตัวเอง จนเสียหลักจะล้ม ดอกไม้ในตะกร้าลอยกระจัดกระจายไปทั่ว แล้วส่วนใหญ่ไปตกบนร่างของคนที่แพ้เกสรดอกไม้
“คุณหนู” ชิงชิงร้องเสียงหลง รีบเข้าไปช่วยปัดดอกไม้พวกนั้นออกไปให้พ้นตัวของผู้เป็นนาย
แต่ลี่เยียนในยามนี้ หาได้ห่วงอาการแพ้ของตนเองไม่ ด้วยกำลังถูกโทสะเข้าครอบงำ กับคำโกหกของน้องสาวต่างมารดา เมื่อวานบอกว่าไม่รู้เรื่องอาการแพ้เกสรดอกไม้ของนางยังพอทน แต่วันนี้ยังบอกว่าลืมอีก แบบนี้ใครจะไปเชื่อ
ร่างสมส่วนพุ่งผ่านตัวขยับเข้าหาสาวใช้คนสนิทของน้องสาวเป็นคนแรก พร้อมกับใช้ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าเต็มแรง จนสาวใช้ทรุดตัวลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ย่างสามขุมเข้าหาน้องสาว ที่เดินถอยหลังหนี
“พี่หญิง ระงับโทสะด้วย ข้าขออภัยที่ทำให้พี่หญิงไม่พอใจอีก อย่าตีข้าเลยนะเจ้าคะ”
สิ้นคำพูดของเฟิงลี่ฉี เสียงซุบซิบของชาวบ้านยิ่งดังขึ้นรอบตัวของคนทั้งสอง สิ่งเหล่านี้ไปกระตุ้นโทสะของลี่เยียน จนไม่ยังยั้งคิดไตร่ตรองอะไรอีกแล้ว สิ่งเดียวที่คิดได้คือ ต้องการสั่งสอนพวกที่ชอบทำตัวเป็นดอกบัวขาวเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่ง กระโจนลงมาจากระเบียงชั้นสองด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะมายืนตัวตรงอยู่ระหว่างกลางของหญิงสาวทั้งสอง ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียน หันไปทางคุณหนูรองสกุลเฟิง
“แม่นางไม่ต้องกลัว ข้าไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าแน่” ...
