บทที่ 4
สายคล้องไหล่ที่ไม่ได้ผูกเป็นปมเงื่อนไว้ถูกปัดให้เลื่อนหลุดออกจากไหล่มน เพียงเขาปล่อยมือ ชุดนอนบางเนียนก็รูดพลิ้วลงไปกองที่ข้อเท้า
เสียงหายใจแรงจนเกือบฟังเป็นหอบของเจ้าบ่าวเรียกให้นางเหลือบตาขึ้น พอเห็นว่าเขากำลังกวาดตามองร่างเปลือยของนางด้วยแววตากระหาย เซวียนอี้ก็รู้สึกว่าเนื้อตัวเหมือนจะละลาย คล้ายขี้ผึ้งที่ถูกไฟลนจนหลอมเหลว
“เซวียนอี้ เจ้างดงามเหลือเกิน!” เสียงห้าวลึกฟังแหบพร่าสั่นสะท้าน
“เห็นเจ้าตัวเล็กเพียงเท่านั้น ที่ไหนได้ อย่างนี้เองที่เรียกว่าซ่อนรูป เปิดหูเปิดตาข้าแล้ว”
วาจาเขาว่าร้าย แต่สัมผัสของเขาร้ายยิ่งกว่า เพราะทำเอานางสั่นเยือก เมื่อมือที่แตะไหล่เลื่อนลงมากดไล่ลงบนต้นขาเปล่าเปลือย จากนั้นจึงค่อยลูบขึ้นมาตามโค้งสะโพกกลมมนขึ้นมาหาเอว และหน้าท้องส่วนบนของนาง เขาลูบไล้ประหนึ่งช่างปั้นแดนตะวันออกที่กำลังสรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก
เขาทำให้นางยิ่งกว่าวับหวาม ด้วยจูบแผ่วเบาที่แผ่นท้องเนียนเรียบของนาง หลังจากทรุดตัวนั่ง รับน้ำหนักตัวเองด้วยปลายเท้า
.
.
.
หลี่เซวียนอี้รีบหลับตา เมื่อภาพความทรงจำในคืนวิวาห์แรกหวนกลับมารบกวนให้ใจสั่นไหว นางก็รีบส่ายหน้าไล่ภาพเหล่านั้นให้ออกไป
นางยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าวันชื่นคืนสุขที่นางคงจะจำไปจนวันตาย คงไม่หวนคืนมาอีกแล้ว จะต้องทำอย่างไรดี คือคำถามที่ผุดขึ้นในหัวซ้ำไปซ้ำมา
“คุณหนูเจ้าคะ” เหยาเหยาลองเรียกเจ้านายของตนอีกครั้งหนึ่ง
“รู้แล้วขอข้าคิดอะไรสักหน่อย” เซวียนอี้ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยสูดอากาศเข้าจนเต็มปอด นางจะต้องไล่ความรู้สึกเหล่านี้ออกไปก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับสามี
ความจริงที่เพิ่งประจักษ์ได้ทำลายความสุขจนหมดสิ้น แม้แต่ความหวัง ความฝันถึงอนาคตการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์พังทลายในพริบตา
สามีของนางทำเหมือนรักนาง และนางก็เข้าใจอย่างนั้นมาตลอด แต่ความจริงแล้ว...ไม่เลย!
“เซวียนอี้”
เสียงเรียกขานนุ่มทุ้มหูแสนจะคุ้นเคย ช่วยเรียกความแน่วแน่คืนมาได้เพียงเล็กน้อย เซวียนอี้ยังรู้สึกมึนงง ขณะที่มองใบหน้าคมสัน ประกอบด้วยเครื่องหน้าเจนตาเจนใจ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากบางตึงได้รูปงามที่เคยก่อความเสียวซ่านแก่อารมณ์สาวของนางมากครั้งเกินจะนับได้
“เป็นอะไรไป เหตุใดหน้าซีดถึงเพียงนี้ จะเป็นลมหรือ”
กระแสเสียงถามเร็ว ฟังว่าเต็มไปด้วยความเอื้ออาทรห่วงใย หลี่เซวียนอี้คงจะซาบซึ้งถ้าเพียงแต่จะไม่รู้ความจริงที่รับฟังมา ก่อนนั้นนางไม่เคยแม้แต่จะคิดสงสัย
เจาจ้าวหลงเข้าประคองร่างอรชร สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่หลี่เซวียนอี้ก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้เสียแล้ว
ในใจหญิงสาวบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่ว่า เขาเห็นนางเป็นตัวแทนฮูหยินเขาที่ตาย เขาห่วงเรา เอื้ออาทรเรา ก็เพราะนางเหมือนฮูหยินเก่าของเขา
ไม่มีอะไร ไม่มีความจริงใจใดมอบให้แก่กันสักนิด ไม่มีครั้งใดที่เขาจะรู้สึกเพราะนางคือนาง คือหลี่เซวียนอี้ ทุกครั้งที่เขามองนางก็คงเห็นแต่ฮูหยินเก่าของเขา ทุกจังหวะรักที่เขามอบให้ ทุกความซาบซ่าน เขาตั้งใจมอบให้ซูเหมยหนี่ ไม่ใช่หลี่เซวียนอี้
หากเป็นไปได้ ทุกครั้งที่เขาครวญครางชื่อหลี่เซวียนอี้ เขาคงอยากเปลี่ยนเป็นซูเหมยหนี่
ความเจ็บช้ำ เจ็บปวดทำให้นางดึงแขนให้พ้นการเกาะกุมของมืออบอุ่น จนเกือบเป็นกระชากโดยไม่ทันคิด ราวกับว่ามือที่แตะลงมานั้นคือถ่านไฟร้อนที่แผดเผาผิวหนังให้ไหม้เกรียม
เจาจ้าวหลงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากกิริยาของฮูหยินที่แสดงออกว่ารังเกียจสัมผัสของเขา ทำให้เขายิ่งกว่าไม่พอใจ ปากบางได้รูปงามอย่างชายเม้มนิดๆ นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จนขนตาดกหนายาวงอนนั้นปิดลงมาพรางนัยน์ตาเข้มคมไว้ครึ่งหนึ่ง
หลี่เซวียนอี้เห็นปฏิกิริยาทั้งหมดนี้ นั่นทำให้นางได้คิด ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นางควรแสดงอาการผิดปกติใดๆ ที่อาจกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน จึงได้พูดเสียงละล่ำละลัก คล้ายจะตอบคำถามที่เขาถามไว้แต่แรกที่เข้าถึงตัว
“ตัวข้ารู้สึกเหมือนจะไม่สบาย จู่ๆ ก็ปวดหัวติ้วขึ้นมา...เจาจ้าวหลง พวกเรากลับกันเลยได้หรือไม่ แม้แต่เปลือกตาของข้าก็ยังปวดไปด้วย”
เจาจ้าวหลงคลายคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน ถึงจะคิดคิดว่าน่าจะมีอันใดมากกว่าที่สตรีข้างกายยอมเผย แต่ก็เห็นว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถาม
เขาแน่ใจ ว่ามีต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะอยู่ๆ ฮูหยินแสนหวานของเขาก็เกิดจะเรียก ‘เจาจ้าวหลง’ แทน ‘ท่านพี่’ ที่เขาให้นางเรียกมาตั้งแต่แต่งงานกันและนางก็ทำตามมาตลอด
“ได้สิ แต่เราต้องไปลาท่านเสนาบดีกันก่อน มาเถอะ”
ทั้งสองเสียเวลาไปอีกหลายนาทีเพื่อหาตัว และล่ำลาเจ้าของงาน จังหวะที่คู่แต่งงานจวนเจาจะเดินออกประตูก็ถูกทักโดยสามีและฮูหยินอีกคู่หนึ่ง
“เอ้า! เจาจ้าวหลง จะกลับแล้วหรือ”
“ฮื่อ ฮูหยินตัวน้อยเหมือนจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
หลี่เซวียนอี้รู้จักคนทั้งคู่ สามีนั้นมีนามว่างกงอี้ส่าน ส่วนฮูหยินนั้นคือเยว่หมิงอัน พวกเขารู้จักและสนิทสนมกับเจาจ้าวหลงในระดับหนึ่งมานานในฐานะคนที่ทำงานกรมเดียวกัน
“คงไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ หน้าซีดมากนี่นะ”
ฮูหยินเยว่พูดเสริมด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่มองหลี่เซวียนอี้อย่างพินิจกว่าปกติก่อนจะกล่าวต่อ
“หรือว่า...อุ๊ย! คงไม่ใช่นะเจ้าคะ อะไรจะรวดเร็วได้เช่นนั้น เพิ่งแต่งงานกันแค่เดือนกว่าสองเดือนเองไม่ใช่หรือคะ”
หลี่เซวียนอี้งง ดูเหมือนเจาจ้าวหลงก็ทำหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจคำพูดของเยว่หมิงอันที่ทำท่าตื่นเต้นนิดๆ พอกัน กระทั่งกงอี้ส่านช่วยอธิบายเพิ่มเติม
“อันเออร์นางหมายความว่าหลี่เซวียนอี้กำลังจะมีน้องหรือไม่น่ะ จ้าวหลง”
“มีน้อง” เจาจ้าวหลงทวน ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง
“แหม!” เยว่หมิงอันหยุดหัวเราะคิกก่อนจะกล่าวอันใดต่อ “มีน้อง ก็หมายถึงจะมีทายาทให้ท่านอย่างไรเล่า ใช่หรือไม่เจ้าคะ น้องหญิงเซวียนอี้”
เจาจ้าวหลงหันขวับมามองฮูหยิน สีหน้าเขาดูแปลกๆ “จริงหรือเซวียนอี้ เซวียนอี้แพ้ท้องหรือ”