9.แผลงฤทธิ์ต่อ
ชามบะหมี่ถูกวางซ้อนกันถึงสามชั้น ซึ่งมันเป็นของเฟยเฟยคนเดียว เสี่ยวจูกินแทบจะไม่หมดชามเสียด้วยซ้ำ
“ฮ๊า! อิ่มแล้ว อร่อยมากมาย” เอ่ยด้วยประโยคเดิมที่มักใช้ในยุคปัจจุบัน พร้อมกับยกมือขึ้นลูบพุงน้อย ๆ ของตนด้วย
“ฮูหยินท่านทานเข้าไปได้อย่างไรตั้งสามชามเจ้าคะ ข้าน้อยไม่เคยเห็นท่านกินจุเพียงนี้มาก่อนเลย”
“ต่อไปก็ชิน จ่ายเงินเถอะจะได้ไปเดินเที่ยวต่อ” เอ่ยกับสาวใช้ ก่อนจะหันไปยังบุรุษทั้งสามที่หนึ่งในนั้นยังมองนางอยู่ ดวงตาสวยหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมหันเหไปไหน และในที่สุดความอดทนก็หมดลง ร่างเล็กจึงเดินเข้าไปหาเขา
“นี่คุณชาย ข้าสังเกตเห็นว่าท่านมองข้าอยู่นานแล้วนะ หน้าตาข้าเหมือนใครที่ท่านรู้จักกระนั้นหรือ” ท่าทางเอาเรื่องของเฟยเฟยช่างไร้ระเบียบไม่สมกับเป็นกุลสตรีสักนิด
เท้าก็ยกขึ้นเหยียบบนตั่งนั่งตัวยาว ใช้แขนวางพาดอยู่บนเข่า หน้าตาก็หาเรื่อง จนบุรุษที่นั่งขนาบข้างถึงกับชักดาบ ดีที่คนตรงกลางห้ามไว้ก่อน ร่างเล็กจึงถอยออกมายืนดูเชิงเสียก่อน
เอ๊า! ลืมมองดาบในมือซะได้ เกือบโดนแทงแล้วไหมล่ะ
ก่นด่าตนเองในใจ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบจากบุรุษรูปงาม สาวใช้ก็เดินมารั้งแขนนางเสียก่อน
“คุณชายมาเจ้าค่ะ ทางนั้น” นิ้วน้อย ๆ ชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุ่งตรงมา ไม่ต้องเดาเลยว่ามาหาใคร
“เผ่นสิ จะอยู่ทำไมล่ะ” ว่าแล้วก็วิ่งไปยังตรอกเบื้องหน้า เสี่ยวจูก็ได้แต่วิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล
“สตรีเช่นนี้ก็มีด้วยหรือ ทำตัวเยี่ยงบุรุษ ไม่รู้ใครกันจะโชคร้ายได้ไปเป็นภรรยา” หนึ่งในสามที่นั่งกินบะหมี่เอ่ยขึ้น ก่อนจะไปจ่ายเงินตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ซึ่งลุกเดินออกไปทันทีเช่นกัน
“เฒ่าแก่เห็นสตรีสองนางมาทางนี้หรือไม่ คนหนึ่งหน้าตางดงามหมดจด ตัวสูงประมาณนี้” คนสนิทเห่ยฟางรีบถาม
“มีนะ พึ่งไปเมื่อครู่นี้เอง ดูรีบร้อนมากด้วย ทางเดียวกันกับสามคนนั่นแหละ” พ่อค้าชี้ไปตามแผ่นหลังของคนที่พึ่งจ่ายเงินซึ่งออกไปก่อนหน้ากลุ่มของเห่ยฟางมาถึง
ได้ยินเช่นนั้นเห่ยฟางก็ไม่รอช้า รีบตรงไปยังตรอกเบื้องหน้าทันที โดยไม่ได้สนใจผู้ที่เดินอยู่แม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายสวมหมวกใบใหญ่มีผ้าแพรสีขาวคลุมทับอีกชั้น
“รีบตามหานางให้พบก่อนค่ำนี้ ไม่เช่นนั้นเดือดร้อนแน่” เสียงออกคำสั่งของเห่ยฟางดูร้อนใจยิ่งนัก
นั่นเป็นเพราะวันนี้จวนสกุลเฉินต้องต้อนรับคนสำคัญ และคนผู้นี้ก็ระบุมาว่าต้องการพบเฟยเฟย เพื่อมอบของจากท่านหญิงที่ฝากมาให้มู่เฟยเฟย และต้องส่งให้ถึงมือด้วยตนเอง
“บ้าจริงเชียว ยุ่งกับงานรับเสด็จท่านอ๋องยังไม่พอ ยังต้องมาวุ่นวายกับสตรีเสียสตินี่อีก จบงานเมื่อใดข้าจะขังลืมให้ดู” ยังมิวายเอ่ยเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างแค้นใจ
และมันก็ดังพอให้คนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งได้ยินทุกถ้อยคำ จนต้องหยุดเท้าลงแบบกระทันหัน เมื่อพอจะเดาออกว่าสตรีที่เขาหมายจะตามนางไปคือผู้ใดกันแน่
“ไม่จำเป็นแล้ว” เอ่ยกับคนของตนซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า
“นางคือฮูหยินของใต้เท้าเฉิน คุณหนูมู่หรือขอรับนายท่าน”
“อืม คงเป็นเช่นนั้น” ตอบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทำเอาคนสนิทถึงกับหันมองหน้ากันด้วยความฉงน
ทว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินก็ยังเป็นทางเข้าเมือง ซึ่งยามนี้มีขบวนเสด็จของชินอ๋องกำลังมุ่งหน้าเข้าวัง เพื่อถวายผลงานแก่ฮ่องเต้ หลังจากชนะศึกจนอีกฝ่ายต้องรีบส่งสาส์นยอมจำนน
“ท่านอ๋องทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ” เสียงประสานกันดังขึ้นมา เป็นที่น่าชื่นใจของผู้ที่อยู่ในรถม้ายิ่งนัก
“ครานี้ไม่ได้เห็นพระพักตร์เลย น่าเสียใจจริงเชียว”
“ได้ยินว่าฝ่ายนั้นแค้นใจมาก จนส่งคนมาลอบสังหารท่านอ๋องเมื่อเดือนก่อน จนต้องนอนรักษาตัวอยู่นาน ดีนะที่สวรรค์เมตตาให้พระองค์ทรงรอดมาได้” อีกคนก็ร่ายให้ฟัง
“นั่นสิ ได้ยินว่าถูกศรปักเข้าที่ลำตัวถึงสองดอก ทำให้ลื่นไถลตกแม่น้ำไป หากเป็นคนอื่นคงตายไปแล้วเป็นแน่”
“ถือว่าสวรรค์เมตตาแคว้นซ่งของเราแล้ว”
“เพราะเหตุนี้กระมัง ท่านอ๋องจึงไม่ประทับบนม้าเช่นเคย”
“จริงด้วย คราแรกข้าก็แปลกใจอยู่ ยามนี้หายสงสัยแล้ว”
กลุ่มชาวเมืองพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าคนทั้งสาม ซึ่งกำลังยืนรอให้ขบวนเสด็จนี้ไปพ้นเส้นทาง หนึ่งในนั้นยกยิ้มอยู่ภายใต้หมวกใบใหญ่ ซึ่งใช้ปิดบังตัวตนไว้ เพราะเขายังมีเรื่องที่ต้องทำ ก่อนจะมองไปยังร่างสูงพอกัน ที่ยังคงเดินวนเวียนตามหาคนอยู่
“เจ้าออกไปหาดู นางอาจจะอยู่ในฝูงชนนี้แหละ” เห่ยฟางออกคำสั่งกับคนของตน ดีที่เขาไม่ต้องตามเสด็จเข้าวังด้วย เพราะท่านอ๋องมีรับสั่งมาก่อนจะถึงเมืองหลวงว่าไม่ต้องจัดการต้อนรับให้เอิกเกริกเช่นทุกครา แต่เหล่าขุนนางก็ยังทำเช่นเคย
“ฮูหยินจะออกไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เสี่ยวจูซึ่งหลบอยู่ข้างผู้เป็นนายเอ่ยถามเสียงเบา เพราะยามนี้พวกนางอยู่ในห้องแต่งตัวของร้านผ้าในเมือง ซึ่งมีแต่เครื่องประดับงาม ๆ ทั้งนั้น
“ใช่ แต่งตัวงามถึงเพียงนี้ ไม่ออกไปให้ชาวเมืองยลโฉมก็เสียดายแย่น่ะสิ” ตอบรับเสียงใส ก่อนจะเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างที่พูด ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหน
เพราะเฟยเฟยไม่ใช่คนเรียบร้อย ไม่ค่อยชอบใส่กระโปรง นอกจากเวลาปฎิบัติงานที่ต้องแฝงตัวเพื่อสืบข่าวเท่านั้น
เสี่ยวจูมองผู้เป็นนายทั้งตื่นทั้งกลัว แต่ใจหนึ่งก็อดชื่นชมมิได้ มู่เฟยเฟยช่างมีใบหน้าและรูปร่างงดงามยิ่งนัก พอได้แต่งกายใหม่ด้วยชุดราคาแพง นางก็งามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ
“แม่นางท่านนี้เป็นบุตรสาวบ้านใดกัน” เสียงซุบซิบจากมุมร้านดังขึ้น มันมาจากเหล่าฮูหยินและสตรีชั้นสูงในเมืองที่ออกมาที่นี่ประจำ พวกนางจึงสงสัยว่าผู้มาใหม่นี้เป็นใคร
“คงเป็นบุตรสาวของคนที่พึ่งย้ายเข้ามาเมืองหลวงกระมัง ข้าเองก็ไม่เคยเห็นหน้านางเลย” อีกคนสำทับ
มันก็ไม่แปลกที่มู่เฟยเฟยจะไม่มีใครรู้จัก เพราะนางไม่เคยออกจากจวนตั้งแต่เด็ก พอแต่งงานก็ยิ่งเหมือนถูกขัง จึงไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของบุตรสาวท่านหญิงฟูหรง
เฟยเฟยไม่ได้สนใจคำพูดของคนเหล่านี้ ถ้ารู้ว่านางเป็นใครคงตกใจจนต้องสั่งคนให้ตามสืบเป็นแน่ว่าใช่หรือไม่
หึหึ ปล่อยให้สงสัยกันไปแบบนี้แหละ
นางเดินออกจากร้านมา ท่ามกลางสายตาของผู้คนซึ่งให้ความสนใจตนเป็นอย่างมาก ทว่าพอถูกเพ่งเล็งก็นึกอายขึ้นมา
เพราะแต่ละคนมองอย่างเดียวไม่พอ ยังเดินเข้ามาถามด้วยว่าตนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ช่างอยากรู้มากกันเสียจริง
“เอ่อ แม่นาง” คนของเห่ยฟางหยุดอยู่ตรงหน้า เขาไม่แน่ใจว่าสตรีผู้นี้ใช่ฮูหยินน้อยหรือไม่ เพราะงามเกินไป ทว่านางก็มีเค้าที่คล้ายคลึงกับมู่เฟยเฟยอยู่มาก
“จะมารับข้ากลับจวนกระนั้นหรือ นำทางไปสิ” เอ่ยเสียงเรียบ ยามนี้นางไม่อยากเที่ยวเล่นแล้ว เพราะผู้คนจับจ้องมากเกินไป และทันทีที่เห็นคนของจวนสกุลเฉินเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นอีก
“คนเดียวกันกับที่กินบะหมี่จริงหรือนี่” เสียงหนึ่งดังขึ้น ว่าแล้วก็ขยี้ตาตนเพื่อมองให้ชัดขึ้นไปอีก จึงถูกสหายอีกคนใช้ศอกกระทุ้งท้อง เพราะยามนี้ผู้เป็นนายเดินตามนางไปแล้ว
คราแรกบอกไม่ให้สืบ ทว่าพอเห็นนางเดินออกมาจากร้านผ้าก็อดที่จะเดินตามมิได้ ดูท่าคงถูกใจสตรีผู้นี้กระมัง แต่น่าเสียดายหากฟังไม่ผิดหญิงงามผู้นี้แต่งงานแล้ว
และนางก็คือภรรยาของเฉินเห่ยฟาง ใต้เท้าหนุ่มที่วิ่งออกตามหาฮูหยินตนทั่วเมือง มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะหวง ก็งามราวเทพธิดาเพียงนี้
“คุณชายพบแล้วขอรับ” คนสนิทรายงาน ร่างสูงซึ่งยืนหันหลังคุยธุระอยู่ถึงกับขบกรามแน่น เขากำมือเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดปูด พยายามข่มอารมณ์ที่กำลังเดือดดาล
“มารับข้ากลับมิใช่หรือ หลบทางสิจะขึ้นรถม้า” กล่าวโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหันมาขย้ำคอเลยสักนิด และสายตาของทุกคนก็จับจ้องที่ทั้งคู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน
“มู่เฟยเฟย!! เจ้าอย่าให้ข้า…ละ” ประโยคแรกเน้นหนักเอ่ยนามฮูหยิน ทว่าประโยคหลังมันกลับขาดหายไปเมื่อเห็นหน้า
#ขออภัยที่ลูกสาวไม่ค่อยเป็นกุลสตรีเท่าไหร่
5555 ตอนต่อไปมีจุก