10. ใครร้ายกว่ากัน
เห่ยฟางได้แต่ยืนตะลึงงัน เมื่อเห็นใบหน้างามของภรรยา ที่เขาไม่เคยใส่ใจนางเลยสักนิด เพราะก่อนนั้นมู่เฟยเฟยผอมแห้ง ใบหน้าตอบจนขอบตาลึก ทว่ายามนี้ทุกอย่างตรงกันข้ามไปหมด นางงาม งามมาก งามราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน
“นี่เจ้า!” นิ้วเรียวยกขึ้นชี้อย่างไม่เชื่อสายตาตน นางไม่ได้อยู่ในอาภรณ์สีซีดเช่นเมื่อเช้า ยิ่งไปกว่านั้นชุดที่นางสวมใส่มันยังขับผิวจนนวลเนียนราวกับไข่มุกต้องแสงแล้วระยิบระยับ แก้มก็เนียนเปล่งปลั่งจนทำให้เขาถึงกับเอ่ยอันใดไม่ออก
“ชี้หน้าทำไม จะต่อว่าอะไรอีกก็ว่ามา แต่ว่ามันควรจะเป็นข้ามากกว่านะที่น่าจะทำเช่นนั้น หึ! มีสามีบ้านใดบ้างหลอกล่อให้ภรรยาไปร้านผ้าที่เก่าซอมซ่อ แล้วบอกว่าเป็นร้านอันดับหนึ่งในเมือง มิหนำซ้ำยังทิ้งไว้ไม่ไยดี พี่น้องทั้งหลาย ข้าคือมู่เฟยเฟย บุตรสาวคนเดียวของท่านหญิงฟูหรง ทว่า…อ๊ะ..อื้อ” ปากที่กำลังร้องเรียกชาวเมืองถูกปิดทันที
“อื้อ…อ่อย..อ่อยอะ”
เห่ยฟางไม่สนใจ และสั่งให้คนของตนไล่คนที่มามุงดูไปให้ไกล เขาไม่อยากให้ข่าวนี้รู้ถึงหูท่านหญิง
“กลับถึงจวนเจ้าเจอดีแน่” เขายิ้มร้ายใส่นางดูน่ากลัวยิ่งนัก ดูท่าเขาคงแค้นใจมากที่ถูกประจานเช่นนี้
เฟยเฟยมองสายตาของสามีที่กำลังใช้ข่มขู่ตน ซึ่งมันไม่ได้ทำให้นางกลัวเลยสักนิด สถานการณ์เช่นนี้เทียบไม่ได้กับปลายเล็บที่ตนเคยเจอมาในยุคปัจจุบันแม้แต่น้อย
บอกให้ปล่อยไม่ยอมปล่อย อยากลองดีเองนะเห่ยฟาง
เข่าน้อยยกตัวลอยขึ้นเมื่อสามีไม่ยอมปล่อยนางอย่างที่บอก
“อึก” ความเจ็บปวดแล่นสู่ใจกลางหว่างขาทันที ผู้ติดตามต่างก็หน้าเสีย เมื่อผู้เป็นนายทรุดนั่งคุกเข่ากับพื้นแบบหมดท่า มือก็กุมอยู่ที่เป้า หน้าตาบูดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าเตือนเจ้าแล้วเห่ยฟาง ข้าไม่ใช่มู่เฟยเฟยคนเก่า ไม่กลัวเลยสักนิดหากต้องทำให้เจ้าเจ็บ เพราะข้ามิได้อาวรณ์เจ้าเลย” นั่งลงตรงข้ามกันพร้อมกับใช้มือเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมา
และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเห่ยฟางก็คือยิ้มหยันที่ทำให้เขาใจหาย ไม่คิดว่านางจะเปลี่ยนไปและร้ายกาจมากถึงเพียงนี้
เฟยเฟยลุกเหยียดกายตรง ยืนอยู่เบื้องหน้าสามีที่มีคนสนิทมาช่วยประคอง ดีแค่ไหนที่เมื่อครู่ไล่คนมุงออกไปบ้างแล้ว จึงเหลือไม่กี่คนที่ยังแอบดูอยู่ ทว่าเชื่อเถอะ วันพรุ่งข่าวใต้เท้าหนุ่มถูกภรรยาจ้วงเข่าคงได้ลือสะพัดเป็นแน่
“พาขึ้นไปสิ สภาพนี้คงขี่ม้ากลับไม่ได้หรอก ขอโทษทีที่ใส่เข้าไปเต็มแรง แต่ถ้าคราวหน้าเจ้ายังคงรังแกข้า เชื่อเถอะว่าน้ำหนักมันต้องเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่” นางเอ่ยกับเขาเสียงหวาน ทว่าประโยคที่เปล่งออกมาน่าขนลุกยิ่งนัก
ใครจะคิดกันล่ะว่าสตรีอ่อนแอขี้โรค นางจะกล้าทำร้ายสามีถึงขั้นนี้ ถ้อยคำที่นางเคยเอ่ยว่ารักเขามันหายไปไหนหมด แต่ก่อนสั่งให้ทำสิ่งใดก็ไม่เคยต่อต้าน และว่านอนสอนง่ายยิ่งนัก แค่ตกลงไปในบ่อนางไม่น่าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้ซ้ำยังมีแรงมากด้วย ราวกับคนไม่เคยป่วยเสียอย่างนั้น
เห่ยฟางถูกพาตัวขึ้นรถม้าอย่างทุลักทุเล บาดเจ็บที่อื่นยังพอทนได้ ทว่าตรงจุดอ่อนไหวเขาไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อน อีกทั้งภรรยาตัวน้อยก็ไม่ได้ออมมือสักนิด ราวกับจะกะให้เขาสูญพันธุ์ไปเลย หรือนางตั้งใจจะทำแบบนี้กันแน่
เฟยเฟยขึ้นมานั่งตรงข้ามเขา มองสามีที่ยังคงนั่งหนีบขากุมเป้าตนอยู่ก็อดขำไม่ได้ แต่ก็พยายามกลั้นไว้สุดฤทธิ์
“กลับไปก็หาน้ำแข็งมาประคบแล้วกัน อย่าใช้เยอะล่ะเย็นจัดประเดี๋ยวเจ้านั่นจะทำงานไม่ได้” บอกราวกับหวังดี
ไม่มีเสียงตอบ ใช่ว่าเห่ยฟางจะกลัวนางขึ้นมา ทว่าเขากำลังคิดหาทางเอาคืนเฟยเฟยต่างหาก
มองแบบนี้สงสัยยังไม่เข็ด
นางเบือนหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่รถม้าเคลื่อนออกไปพอดี ดวงตาสวยสบเข้ากับร่างสูงภายใต้หมวกใบใหญ่ตรงมุมตรอก แม้จะไม่เห็นใบหน้า ก็รู้ว่าเขาคือคนที่นั่งกินบะหมี่และจ้องนางราวกับคนรู้จัก และมันไม่มีทางใช่แน่ เพราะได้ยินว่าเจ้าของร่างไม่เคยได้ออกจากจวนตั้งแต่เด็ก
“กลับกันเถอะ” เสียงทุ้มสั่งคนของตน ก่อนจะหมุนตัวออกจากตรอกเมื่อรถม้าได้เคลื่อนไปพ้นสายตาแล้ว
ณ จวนสกุลเฉิน
เห่ยฟางถูกพาลงจากรถม้าเข้าจวนอย่างทุลักทุเล ทำเอาทุกคนที่รออยู่ต่างก็ตื่นตกใจมิใช่น้อย และแปลกใจเมื่อเห็นสตรีแต่งกายงดงามเดินตามมาอีกคน
“เกิดอันใดขึ้นลูกแม่”
“ท่านพี่เดินไม่ระวัง ตกร่องบันไดตอนก้าวขึ้นรถม้าเจ้าค่ะ สะใภ้ว่าท่านแม่รีบให้คนไปหาน้ำแข็งมาประคบดีกว่านะเจ้าคะ ประเดี๋ยวเกิดใช้งานไม่ได้ขึ้นมา ทายาทที่ทุกคนเฝ้ารอคงมิได้มาเกิดเป็นแน่” กล่าวราวกับเรื่องทั้งหมดนั้นจริง
ทว่ากลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์กลับไม่มีใครบอกความจริงเลย เพราะผู้เป็นนายก็ไม่ได้เอ่ยปาก และยังคงนิ่งราวกับจะยอมรับว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว
“โถวลูกแม่ ไยเจ้าถึงไม่ระวังตัว” คนเป็นแม่ไม่ได้สนใจอย่างอื่น เพราะนางห่วงบุตรชายมากกว่าสิ่งใด
“เมื่อครู่เจ้าแทนตนว่าสะใภ้ เจ้าเป็นใครกัน” เสียงทุ้มใหญ่ของประมุขจวนดังขึ้น พร้อมกับใช้สายตากดต่ำมองคนแปลกหน้า ทำให้ทุกคนพุ่งเป้ามาที่เฟยเฟย หนึ่งในนั้นก็คือซูฉี
“อะไรกัน นี่ท่านพ่อจำสะใภ้ใหญ่ของจวนมิได้หรือเจ้าค่ะ คงเป็นเพราะข้ามิได้แต่งกายซอมซ่อเช่นแต่ก่อนกระมัง” หยันผู้อาวุโสอยู่ในที นางไม่กลัวว่าเขาจะใช้กฎของสกุลลงโทษ เพราะอย่างไรเฟยเฟยผู้นี้ก็ไม่มีทางยอม คิดจะกดขี่ข่มเหงคนจากยุคสองพันยี่สิบสี่ ก็คงต้องดูกันหน่อยว่าจะเก่งกาจเพียงใด
“มะ หมายความว่าเจ้าคือมู่เฟยเฟยกระนั้นหรือ” เป็นซูฉีที่เอ่ยขึ้นมา และน้ำเสียงนางไม่น่าฟังเลยสักนิด เพราะอีกฝ่ายคือพี่สาว ควรจะใช้วาจาที่ดีกว่านี้
คนถูกขานนามหันมาหาน้องสาวต่างมารดา ก่อนจะยกยิ้มใส่เมื่อเห็นท่าทางนางราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เจ้าก็อีกคน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด พี่สาวตนเองยังจำไม่ได้ เกิดเป็นคนสกุลมู่ได้เยี่ยงไรฮึ” ตำหนิต่อหน้าคนในจวนเสียเลย และมันก็ทำให้ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้ง เมื่อเห็นสะใภ้ใหญ่เอ่ยวาจาไม่เกรงใจผู้ใดเลยสักคนแม้แต่บิดาของสามี
“เอาล่ะ ในเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเอ่ยเรื่องสำคัญที่หารือกับเห่ยฟางเสียเลย ข้ามู่เฟยเฟยต้องการหย่า หากไม่อยากให้ท่านแม่ทราบเรื่องที่พวกท่านทำกับข้า ก็จงบอกบุตรชายให้เขียนจดหมายหย่าเสีย ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อสกุลเฉิน เพราะเป็นแม่พันธุ์ อ้อ..ไม่ใช่ มีบุตรให้สกุลท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นปล่อยข้าไปดีดี แล้วข้าจะไม่ทำเรื่องวุ่นวายให้พวกท่านต้องปวดหัวอีก” ร่ายยาวถึงความต้องการของตน
“ข้าไม่หย่า” เมื่อคลายความเจ็บปวดลง เห่ยฟางก็เริ่มมีเสียงขึ้นมา และเดินเข้ามาหาร่างเล็กก่อนจะแบกนางขึ้นบ่าตรงออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
“ปล่อยข้านะเห่ยฟาง” น้ำเสียงของเฟยเฟยไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย คนที่น่าเป็นห่วงดูเหมือนจะเป็นสามีมากกว่า
ก่อนนี้แค่เตือน ทว่าเขากลับยังหาเรื่องเจ็บตัวอีกจนได้ คราวนี้จะเอาให้ลุกไม่ขึ้นนอนหยอดน้ำข้าวต้มเชียว
“ข้าจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว ปล่อยข้า” ครานี้น้ำเสียงนางเริ่มกดต่ำ แฝงด้วยอันตรายอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าคนตัวโตกลับไม่ตื่นกลัว เพราะคิดว่านางจะต้องใช้เข่าทำร้ายตนอีกเป็นแน่ จึงรวบขานางไว้ด้วย
“ประเดี๋ยวขอรับคุณชาย แขกที่จะมาเยี่ยมฮูหยินน้อยมาถึงแล้วขอรับ ยามนี้รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่” เสียงรายงานดังขึ้น
“อะไรนะ! ไยถึงมาเร็วเพียงนี้ บอกว่ายามซวีมิใช่หรือ”
“หึหึ ใครกันนะที่เดินทางมาหาข้า เอ๋! หรือจะเป็นคนของท่านแม่ที่ได้ข่าวจากจดหมายข้ากันล่ะ เช่นนี้เจ้าก็คงต้องหย่าอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะเห่ยฟาง” ยังมิวายเอ่ยขู่ เพราะดูจากท่าทางที่นิ่งไปของสามี คาดว่าผู้ที่มาน่าจะใหญ่โตมีอำนาจมาก