8. เริ่มแผลงฤทธิ์
รถม้ากลับเข้าเมืองมาจนถึงตลาดทางทิศใต้ วันนี้งดจัดตั้งตลาดกลางเมือง เพราะมีขบวนเสด็จของราชนิกูล
“ที่นี่คือร้านผ้าดีที่สุดในเมือง เจ้าเลือกดูแล้วกัน จะสั่งกี่ชุดก็แล้วแต่ ข้าจะไปรอที่หอน้ำชาฝั่งตรงข้าม”
“อืม ข้าขอซื้อให้เสี่ยวจูด้วยนะ เห็นใส่ชุดเดิมตั้งแต่ข้าฟื้นมาแล้ว เหม็นสาปจะตาย” แสร้งเอ่ยไปเช่นนั้นเอง ในเมื่อได้โอกาสก็จะดูซิว่าสามีผู้นี้เป็นสายเปร์แค่ไหน
“แล้วแต่เจ้า” สิ้นคำเขาก็เดินออกไป เฟยเฟยเผยยิ้มร้ายออกมาก่อนจะเดินสำรวจด้านใน คิ้วสวยเริ่มผูกเป็นปมเมื่อเห็นผืนผ้าที่แขวนอยู่ มันดูไม่สมกับร้านเด่นในเมืองเลยสักนิด
“เสี่ยวจูนี่คือร้านดังในเมืองจริงหรือ ข้าคิดว่ามันเป็นร้านผ้ามือสองมากกว่านะ เมืองหลวงแท้ ๆ ทำไมผ้าที่ขายถึงดูเก่านักล่ะ” หันมาถามคนของตน ซึ่งสาวใช้ก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“ข้าน้อยก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ไม่เคยมาแถบนี้เลย”
คิ้วสวยย่นเข้าหากันอีกหน
“หรือว่าเขาตั้งใจจะแกล้งเรา” นึกได้แบบนั้นก็เดินย้อนกลับออกมายืนหลบอยู่ข้างหน้าต่าง ‘ไม่มีคนเฝ้าที่หน้าร้าน’ มองสำรวจไปทั่วบริเวณอีกหน ‘ให้คนของตนหลบอยู่ที่มุมตรอกหมายความว่าไง หรือคิดจะแกล้งเรางั้นเหรอ’
พอมองขึ้นไปอีกฝั่งมันก็ดูไม่เหมือนหอน้ำชาเลยสักนิด เพราะไม่มีผู้คนเดินเข้าออกเลย จะเป็นหอน้ำชาไปได้เยี่ยงไร
“เฒ่าแก่ อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทเลยนะ ร้านผ้าของท่านเป็นร้านดีที่สุดในเมืองหรือไม่” ถามไปตรง ๆ ซึ่งมันทำให้คนที่เฝ้าร้านถึงกับยิ้มเอ็นดูคำถามพาซื่อของนาง
“ไม่หรอกคุณหนู ร้านข้าก็แค่ร้านเล็ก ๆ จะเป็นร้านดีที่สุดในเมืองได้อย่างไร สีผ้าก็ไม่สดใสท่านก็เห็น แย่ที่สุดต่างหากขอรับ”
“อืม อย่างนี้นี่เอง” รับคำก่อนจะยิ้มอ่อนส่งให้คนแก่
“เสี่ยวจู เจ้าไปเรียกคนของคุณชายมาที เขายืนอยู่ที่ตรอกฝั่งตรงข้าม บอกว่าข้ามีเรื่องจะถามหน่อย”
“เจ้าค่ะ” รับคำแล้วก็เดินออกไปทั้งงง ๆ ไม่นานนางก็เดินกลับมาพร้อมผู้ติดตามร่างสูง ซึ่งแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคนของฮูหยินหาตนพบ และดูเหมือนจะง่ายมากเสียด้วย
“ข้าอยากรู้ว่าปกติแล้วสกุลเฉิน ให้คนไปเก็บเงินที่จวนใช่หรือไม่ เพราะเขาให้ข้ามาเลือกซื้ออาภรณ์แต่ไม่ยักกะทิ้งเงินไว้”
“ขอรับ คุณชายสั่งไว้ หากฮูหยินต้องการสิ่งใด ก็สั่งคนของร้านไปส่งที่จวนได้เลย” รายงานตามที่ผู้เป็นนายสั่งไว้
“ดี เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ เฒ่าแก่ได้ยินแล้วนะ ข้าคือฮูหยินน้อยแห่งจวนสกุลเฉิน ท่านไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเบี้ยวไม่จ่ายเงิน” บอกให้ได้ยินทั่วทั้งร้าน ทำเอาคนของเห่ยฟางถึงกับหน้าเจื่อน
เฟยเฟยเดินเลือกของชิ้นนั้นชิ้นนี้ แม้มันจะดูไม่ค่อยมีราคานัก ทว่ามันก็ดีกว่าปล่อยให้ร่างนี้ใส่เสื้อผ้าเดิม ๆ เอาไว้รอบหน้าค่อยไปร้านดังในเมืองจริง ๆ วันนี้ถือว่าเรียกน้ำจิ้มแล้วกัน
เสี่ยวจูมองหีบอาภรณ์ที่ผู้เป็นนายเลือกไว้แล้วก็ยิ้มแห้ง เพราะมีมากถึงสาม เรียกได้ว่าเกือบจะเหมาหมดร้านเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าราคามันจะไม่ได้แพงเท่าร้านใหญ่ แต่สั่งจำนวนมากเช่นนี้คงต้องจ่ายถึงหลายตำลึงทีเดียว
“ฮูหยินจะไปไหนอีกเจ้าคะ” รีบถามเมื่อเห็นผู้เป็นนายตั้งท่าจะเดินออกไปทางหลังร้าน ซึ่งดูท่าทางเหมือนหลบใครอยู่
“ไปเที่ยวตลาด” บอกอย่างอารมณ์ดี “เฒ่าแก่ส่งของให้ถึงจวนนะ ประเดี๋ยวสามีข้าจะจ่ายเอง” ยังไม่ลืมกำชับอีกรอบ คนแก่ก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะดีใจที่วันนี้ขายได้มาก
“แล้วไม่แจ้งคนของคุณชายหรือเจ้าคะ”
“บอกทำไม เขาตั้งใจจะเอาข้ามาทิ้งไว้ที่นี่อยู่แล้ว คนผู้นั้นก็แค่มาตามดูเฉย ๆ ไม่ได้มาคอยรับใช้ข้าเสียหน่อย” กล่าวพร้อมกับเดินเลาะออกมาคนละเส้นทางกับร้านผ้า
“เอ๋! คุณชายจะใจร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ ในเมื่อเขาก็รู้ว่าท่านไม่เคยออกจากจวนมาตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างพาซื่อ ผู้เป็นนายก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดู
“ปกติ เจ้าเห็นเขาดีกับข้ากระนั้นหรือ คนผู้นั้นคิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง รักใครไม่เป็นหรอก” บอกไปอย่างที่คิด แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังสะพานข้ามคลอง อีกฝั่งมีข้าวของมากมายวางขายอยู่ ดูท่าแล้วที่นี่คงเป็นเขตของคนชั้นกลางกระมัง
ดูงดงามเหมือนภาพวาดเลยแฮะ เมืองโบราณนี่สวยจริง ๆ
เฟยเฟยอดชื่นชมทิวทัศน์และบรรยากาศยามนี้ไม่ได้ คลองน้ำใสไหลผ่านไกลสุดลูกตา หลังคาบ้านเรือนลดหลั่นกันไปตลอดแนว มีโคมไฟห้อยอยู่ คงเอาไว้จุดให้แสงสว่างยามค่ำคืน
เสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกผู้คนที่เดินไปมาเพื่อให้สนใจของบนแผงขาย มันช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากจริง ๆ
จางรั่ว ตอนนี้ฉันอยู่ในโลกนิยายนายรู้หรือเปล่า มันสวยมากเลยนะ ฉันอยากให้นายอยู่ตรงนี้ด้วยจัง
นึกถึงใครบางคนขึ้นมา ก่อนที่ดวงตาสวยจะหม่นลง ใจดวงน้อยเต้นรัวผิดจังหวะ บางครั้งรู้สึกเหมือนมันล่วงหล่นลงไปก็มี
ใจหาย ใช่มันคือคำนี้ เมื่อเธอนึกถึงเพื่อนสนิทที่จากกันโดยไม่ได้ล่ำลา เพราะเขาคือคนเดียวที่อยู่ด้วยตลอด
นึกมาถึงตรงนี้ก็มีเรื่องให้ฉงนอีก
‘เอ๋! ถ้าเราเข้ามาอยู่ในนิยายแบบนี้ แล้วมันจะไปยังไงต่อล่ะ ในเมื่อเราอ่านจนเหลือแค่สามหน้าก็จะจบแล้ว แถมสปอร์ยยังบอกว่านางเอกไม่รอด แต่ตอนนี้เรากลับอยู่ในร่างของมู่เฟยเฟยเสียได้ แล้วนิยายมันจะจบยังไงหว่า’ ยังคงความสงสัย ซึ่งเฟยเฟยไม่มีทางหาคำตอบในเรื่องนี้ได้แน่ เพราะเธออยู่ในโลกแห่งนิยายไปแล้ว ไม่มีทางจะรู้ได้ว่าตอนจบจะเป็นเช่นไร
“ไปทางนั้นกันเถอะ” หันมาชวนสาวใช้ ก่อนจะเดินนำไปยัง ตรอกเบื้องหน้า ซึ่งมันจะทะลุผ่านไปยังกลางเมืองหลวง ได้โอกาสออกมาเที่ยวทั้งทีมีหรือเฟยเฟยจะยอมพลาด
“ฮูหยินท่านจำทางกลับได้หรือเจ้าคะ”
“เดินตามมาเถอะน่า เรามีปากนะ ถ้าหลงก็แค่ถามหาจวนก็พอ อย่าปอดแหกนักเลย” ว่าแล้วก็ดึงเอาแขนสาวใช้ เดินตรงไปตามเส้นทางซึ่งมีผู้คนมากมายสัญจรเต็มถนน
“เจ้ามีเงินติดตัวมาหรือไม่” หันมาถามเมื่อทั้งคู่หยุดลงที่หน้าร้านบะหมี่แห่งหนึ่งก่อนถึงถนนหลักของเมือง
“มีเจ้าค่ะ ข้าน้อยหยิบมาตอนที่ฮูหยินบอกจะหนีออกจากจวน เกรงว่าอาจต้องใช้เงิน” บอกตามจริง
“น่ารักมาก เจ้านี่ใช้ได้เลย งั้นไปสั่งบะหมี่มากิน ข้าหิวแล้ว”
“ท่านทานได้หรือเจ้าคะ” ความกังวลเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะผู้เป็นนายทานยากมาก อาหารข้างทางเช่นนี้ดูไม่เข้ากับนางเลย
“ทำไมล่ะ คนอื่นกินได้ ไยข้ากินไม่ได้ คนเรามีมือมีเท้าเท่ากัน ต่างก็แค่กระเพาะเท่านั่นแหละ ใครจะใส่อาหารได้มากกว่ากัน รีบไปสั่งมาเถอะ ข้าหิวจนจะกินม้าได้อยู่แล้ว” เอ่ยโดยไม่ใส่ใจรอบข้างเลยสักนิด โดยเฉพาะสายตาคู่หนึ่งซึ่งมันกำลังจ้องนางอยู่ทุกการเคลื่อนไหวเลยก็ว่าได้
“มาแล้ว มาแล้ว” มือขาวยกขึ้นถูกันเมื่อเห็นชามบะหมี่ถูกยกมา รอยยิ้มของเฟยเฟยช่างสดใสยิ่งนักยามเห็นของกิน
บะหมี่โบราณของแท้ ลองดูซิรสชาติจะเป็นยังไง
นึกแล้วก็ลงมือใช้ตะเกียบคีบเส้นในชาม ก่อนจะเอาใส่ปากพร้อมกับสูดเข้าไปอย่างที่เคยทำเวลาที่เธอกินในยุคปัจจุบัน ทำเอาสาวใช้ตัวน้อยถึงกับยิ้มแหยเกรงผู้เป็นนายจะสำลัก
“อร่อยมากเลยเสี่ยวจู เจ้ารีบกินสิ ประเดี๋ยวมันเย็นจะไม่อร่อยนะ” บอกแล้วก็หันมาสนใจชามของตนต่อ
จังหวะนี้เองที่นางรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้อง จึงเหลือบตามองผ่านสาวใช้ไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีบุรุษสามคนนั่งอยู่
???? ...
ดวงตาสวยกะพริบถี่ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหันหนีเลย
มองเราเหรอ? ไม่มั้ง
หันกลับไปทางด้านหลังก็ไม่มีใครนอกจากกำแพงเรือน คิ้วสวยจึงผูกกันเป็นปม ทว่านางก็ก้มลงกินต่อ คิดว่าคนตัวโตอาจจะแค่มองว่านางตระกละ เพราะกินไม่ค่อยมีมารยาทนัก
#เอ๋! ใครกันมาจ้องลูกสาวเรา อิอิ