4. เผาหลอก
เห่ยฟางนั่งมองการรักษาของท่านหมอและท่าทางที่ต่างออกไปของภรรยา ปกตินางจะต้องหน้าซีดเมื่อเห็นเลือด และร้องไห้กับแผลบนหัวที่ใหญ่พอดู ทว่ามู่เฟยเฟยกลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้ท่านหมอเช็ดล้างทำความสะอาดโดยไม่โอดครวญเลย
มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อคนจากยุคปัจจุบันเคยถูกยิงมาตั้งหลายหน เจ็บแค่นี้มันไม่เท่ากับกระสุนฝังในหรอก
“เสร็จแล้วก็ไปเปลี่ยนอาภรณ์เสีย อย่าลืมกินยาด้วย แล้วห้ามพวกเจ้าแพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาด อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไม่รู้ว่าเขาขู่ใคร แต่เฟยเฟยนั้นยิ้มรับไปแล้ว การกระทำของนางมันน่าหมั่นไส้ยิ่งนักในสายตาเห่ยฟาง
“มาทางนี้เถอะเจ้าค่ะฮูหยิน” เสียงเรียกทำให้คนบนเตียงหันไปหา ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อีกหนึ่งกรุบ
“เธอ..เอ่อ…เจ้าชื่ออะไรเหรอ เอ่อ…หรือ พอดีข้าหัวกระแทก จำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่พูดยังไม่รู้เลยว่าต้องพูดยังไง ต่อไปก็แนะนำด้วยนะ” บอกเสียงอ้อนกับอีกฝ่าย เท่าที่อ่านมาสาวใช้คนนี้คือดีกับมู่เฟยเฟยที่สุดแล้วในจวนแห่งนี้
“เอ่อ ข้าน้อยเสี่ยวจูเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าได้เกรงใจ ถามข้าน้อยได้ทุกเรื่องเจ้าค่ะ” คนจงรักภักดีรีบเอ่ย
“น่ารักจัง นี่ถ้าฉันเป็นผู้ชายจะต้องจีบเธอแน่ ๆ” บอกอย่างที่คิด ซึ่งมันทำให้คนฟังได้งงกันอีกรอบ เฟยเฟยเลยได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะขยับลุกเพื่อเดินตามสาวใช้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะขายังเจ็บอยู่ เลยต้องเดินกระต่ายขาเดียวแทน โดยมีสาวใช้คอยประคองอยู่ข้าง ๆ เพื่อไม่ให้นางเซล้ม
“หึหึ เก่งนี้ เห็นปกติจะออเซาะทำตัวอ่อนแออยู่เรื่อย คราวนี้ไม่บอกให้ข้าอุ้มเจ้าไปล่ะ” คนด้านหลังยังมิวายแขวะ เมื่อเห็นท่าทางอวดเก่งของฮูหยินตน
“พอหัวกระแทก ฉัน เอ๊ย! ข้าก็เลยนึกขึ้นได้ว่าการเป็นมนุษย์นั้น อย่าได้เอาชีวิตไปฝากกับใครเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีนัก มีมือมีเท้าเท่ากัน ทำไมต้องอาศัยแต่คนอื่นด้วยล่ะ” สิ้นคำริมฝีปากซีดเซียวก็เผยยิ้มใส่อีกหน
“อวดดี อวดเก่งให้มันตลอดแล้วกัน มิใช่คิดแต่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นเห็นใจ ต่อจากนี้ห้ามฮูหยินออกจากห้องเด็ดขาด และจัดหายามมาเพิ่มอีก นางจะเป็นอันใดไปไม่ได้เข้าใจหรือไม่”
เพราะภรรยาเขาเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของท่านหญิงฟูหรง หากนางเป็นอันใดไปแน่นอนว่าครอบครัวเขาต้องรับผิดชอบ
เพราะสกุลนี้เป็นราชนิกูลเก่าแก่ของแคว้น ราชวงศ์ปัจจุบันต่างก็เคารพท่านหญิงมาก นางคือสตรีแกร่งสู้รบพร้อมกับสามี ตีต่างแคว้นจนชิงเมืองกลับมาได้ เป็นที่เลื่องลือไปสามแคว้น ผู้คนต่างก็เคารพนับถือโดยเฉพาะฮ่องเต้และชินอ๋อง
“กักขังหน่วงเหนี่ยวกันงั้นเหรอ เหอะ! กลัวตายล่ะ ตอนนี้ฉันยังเจ็บอยู่เฉย ๆ หรอก รอให้หายดีเมื่อไหร่เจอกันแน่” ส่งเสียงขึ้นเมื่อประตูปิดลงแล้ว เสี่ยวจูเลยได้แต่กะพริบตาถี่
“ไหนล่ะชุด รีบเปลี่ยนเถอะ หนาวจะแย่” เลี่ยงไปเรื่องอื่นทันที เมื่อเห็นคนตรงหน้ายืนนิ่งไม่ขยับ คงตกใจที่เห็นเธอต่อว่าคนตัวโตนั่นแหละ ใครจะไม่ตกใจกันล่ะ อยู่ ๆ เจ้านายก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ จากคนไม่ค่อยพูดก็พูดไปเรื่อย และยังกล้าตำหนิสามีอีกด้วย ทั้งที่ก่อนนี้ไม่ว่าลับหลังหรือต่อหน้ามู่เฟยเฟยไม่เคยทำมันเลยสักครั้ง แม้แต่ตัดพ้อเขาก็ตาม
“เดี๋ยวก็ชินนะ แล้วเธอ เอ้ย!...เจ้าจะชอบเวอร์ชั่นใหม่ของข้า รับรองเผ็ดแซ่บถึงใจ” ยังไม่วายพูดให้อีกฝ่ายงง จนทำอะไรไม่ถูกแล้วยามนี้ กว่าจะหาชุดใหม่เปลี่ยนได้ ผู้เป็นนายก็เกือบแข็งตายก่อนแล้ว ทำเอาคนเจ็บจับไข้จนได้
ก็แน่ล่ะ ร่างกายนี้แข็งแรงเสียที่ไหน
เฟยเฟยคงต้องใช้เวลาปรับตัวไปอีกสักระยะ ถึงจะเข้าที่เข้าทาง จนเวลาผ่านไปถึงหนึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่เธอได้เกิดใหม่ในร่างนี้ เธอก็ยังไม่ได้ออกไปสำรวจข้างนอก
“นี่เจ้าสองคนช่วยเปิดประตูให้ข้าออกไปได้หรือไม่ ข้าอยากไปเดินเล่นในสวน” ตะโกนบอกยามหน้าประตู
สาวใช้มองผู้เป็นนายยืนเกาะประตูก็นึกสงสาร แต่ก่อนนางก็ถูกขังเช่นนี้ ไม่สิ จะเรียกว่าขังก็คงไม่ได้ เพราะเฟยเฟยไม่ยอมออกไปเองต่างหาก อย่างที่รู้ถูกลมเย็นนิดเดียวนางก็จับไข้แล้ว ทว่าครานี้นางกลับร้องขอจะออกไปให้ได้เสียอย่างนั้น
ที่สำคัญตั้งแต่เดินได้ผู้เป็นนายก็ดูแข็งแรงมาก และยังชอบทำท่าทางเหมือนคนเต้นระบำ ไม่รู้ไปเรียนมาจากที่ใดกัน
“จะเปิดดีดี หรือจะให้ข้าเผาเรือน” คำขู่ดังมาให้ได้ยิน ทว่าคนด้านนอกก็หาได้สนใจไม่ เฟยเฟยจึงหันไปหาสาวใช้
“เจ้าไปเปิดหน้าต่างที ขอดีดีไม่ชอบ งั้นก็หนีมันซะเลย” กระซิบเสียงแผ่วเบา ทว่าคนฟังกลับร้องเสียงหลงเสียแล้ว
“ไม่ได้นะ อื้อ”
“ชู่ว เจ้าจะเสียงดังทำไม ไปเปิดหน้าต่างนู่น” ยังคงใช้เสียงแผ่วเบาจนแหบพร่าเช่นเคย ก่อนที่นางจะคลายมือออก แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง ซึ่งอันที่จริงเฟยเฟยปีนออกได้สบายมาก แค่ไม่อยากสร้างเรื่องให้กับเวรยามเท่านั้น แต่ในเมื่อพูดดีดีแล้วไม่มีใครฟัง งั้นก็ทำตามความต้องการเดิมนี่แหละง่ายดี
กลิ่นเผาไหม้ลอยมาแตะจมูกยามที่หน้าประ ไม่นานก็เริ่มมีควันพวยพุ่งออกมาตามช่อง จึงต้องรีบเปิดมันอออก และพบว่ามีกองผ้าถูกเผาอยู่กลางห้อง แต่ไม่เจอฮูหยินของจวนเลย
“ฮ่าฮ่า นี่แค่สั่งสอนนะ คราวหน้าเผาทิ้งทั้งจวนแน่” เฟยเฟยยืนหลบอยู่ที่มุมสวน เสี่ยวจูได้แต่ยิ้มแหยมองภาพเบื้องหน้าอย่างหดหู่ นี่ถ้าฮูหยินเผาจวนขึ้นมาอย่างที่พูด ตนคงได้หลังลายเป็นแน่ เพราะไม่รู้จักห้ามปรามนั่นเอง
“ไปเถอะ ออกไปเที่ยวกัน ข้าอยากเห็นความเป็นไปของเมืองนี้แล้ว” บอกเสียงใสพร้อมกับกระชับเสื้อคลุมบนตัว
“จะออกไปจริงหรือเจ้าคะ หากคุณชายกับนายท่านรู้ต้องตำหนิแน่ ที่สำคัญข้าน้อยคงถูกโยจนตาย” บอกเสียงเบาในช่วงประโยคหลัง สองเท้าเล็กที่เดินนำไปก่อนจึงหยุดลงทันที
“โบยหรือ? พวกเขาจะโบยเจ้าด้วยข้อหาใดกัน” คนจากยุคปัจจุบันรีบถาม ยามนี้นางเริ่มพูดจาไม่ต่างจากผู้คนในจวนราวกับเป็นคนที่นี่เสียอย่างนั้น เพราะปกติเฟยเฟยอ่านนิยายแทบทุกวัน ซึมซับคำพูดเหล่านี้จนเรียกว่าล้นหัวเลยก็ว่าได้
“ก็พาฮูหยินหนีออกไปข้างนอกอย่างไรล่ะเจ้าคะ ปกติแค่ต้องลมก็ล้มป่วยแล้ว แต่นี่ท่านยังหมายจะออกจากจวนไปอีก หากเกิดหมดสติอยู่ข้างนอก และร้ายแรงถึงขั้นสิ้นชีพ เสี่ยวจูคงมีหัวไม่พอให้ตัดแน่เจ้าค่ะ” สาวใช้คุกเข่าลงร้องขอผู้เป็นนาย เว้าวอนหวังให้เมตตานางสักครั้ง ไม่รู้มู่เฟยเฟยคิดอันใด ถึงได้ลุกมาแต่งตัวและสร้างเรื่องตั้งแต่เช้าเช่นนี้
ร่างเล็กนั่งยองลงตรงหน้าสาวใช้ ใช้มือเชยคางอีกฝ่ายขึ้นเพื่อให้สบตากัน พร้อมกับริมฝีปากอิ่มที่เผยยิ้มร้าย
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่เป็นอันใดทั้งนั้น อีกอย่างข้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ในบ่อนั้นมีเทพธิดาอยู่นางรักษาข้าจนหายดี ภายหน้ามู่เฟยเฟยจะไม่ใช่สตรีขี้โรคกลัวแม้กระทั่งลมอีกแล้ว” สิ้นคำนางก็รั้งเอาสาวใช้ลุกตามขึ้นมา ทว่า!
“อยู่นี่เองหรือ เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรมู่เฟยเฟย ถึงได้จุดไฟเผาเรือนเช่นนี้” เสียงแหลมแผดตะเบงมาก่อนตัว พอมาถึงก็ยืนจ้องหน้าพี่สาวอย่างเอาเรื่อง เพราะถือว่าตนเป็นคนโปรดของเฉินฮูหยิน นายหญิงที่ใหญ่สุดในจวนนี้
ดวงตาสวยหรี่ลงพร้อมกับคิ้วที่ผูกกันเป็นปม เพราะยังจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มีสิทธิ์มากแค่ไหนถึงได้กล้ามาต่อว่าตน
“ใคร?” หันมาถามสาวใช้ที่หดเหลือตัวนิดเดียว
“น้องสาวท่านเจ้าค่ะ คุณหนูสามบุตรสาวอนุเจียว นามว่าซูฉี” สาวใช้กล่าวโดยไม่กล้ามองหน้าฝั่งตรงข้าม เฟยเฟยได้แต่มองอย่างเอ็นดู ไม่รู้ก่อนนี้เสี่ยวจูโดนอะไรมาบ้าง ก่อนจะหันมาหาผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งมีท่าทีราวกับนางอิจฉาในซีรี่ย์
น้องสาว? ย่นคิ้วเข้าหากัน
#เริ่มแผงฤทธิ์แล้วลูกสาว จะเผาบ้านหลัวซะแล้ว 555