14. ชินอ๋อง
ดวงตาสวยกะพริบถี่มองเขา ใบหน้าคมคายนี้ดูสะดุดตาเหลือเกิน จมูกเรียวโด่งได้รูป นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิท คิ้วโค้งและหนาเข้ากับใบหน้า ที่สำคัญรอยยิ้มของอีกฝ่าย มันชวนให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมาจนรู้สึกใจหาย
ทำไมคนตรงหน้าถึงได้เหมือนเขานัก
คำถามที่แล่นอยู่ในหัวยามนี้ ทว่า!
“อ๊ะ!...เจ็บนะ” ต่อว่าอีกฝ่ายทันที เพราะนิ้วเรียวดีดกระแทกลงหน้าผากเต็มแรง ราวกับจะเรียกสตินาง
“ก็ใครใช้ให้มองถึงเพียงนี้กันฮึยัยตัวแสบ ไร้มารยาทจริงๆ” ตำหนิไม่จริงจัง ซึ่งประโยคเขามันเหมือนคำพูดของใครบางคน
‘นี่จางรั่ว นายหล่อขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีแฟนห๊ะ ฉันเลิกไปสองคนแล้วแต่นายยังไม่คบใครเลยนะ หรือว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง'
‘บ้าเหรอ ฉันผู้ชายทั้งแท่ง’
‘แน่เหรอ ไหนขอดูหน่อย’ ทำท่าชะโงกหัวมาอีกฝั่งของโต๊ะ เพราะเพื่อนหนุ่มนั่งอยู่ตรงกันข้าม
‘นี่แหนะ ผู้หญิงลามกไม่มีมารยาท’ นิ้วเรียวดีดเข้าให้
‘โอ๊ยเจ็บนะ ไอ้เพื่อนใจร้าย ขอดูนิดเดียวก็ไม่ได้’
‘ใครสั่งใครสอนให้เธอเป็นผู้หญิงแบบนี้กันฮึเฟยเฟย วันหน้าเธอจะขายไม่ออกนะรู้มั้ย’ ต่อว่าเสียงอ่อน
‘ไม่มีคนซื้อก็ขายให้นายไง เอาไหม รับรองภาระสุด ๆ’
‘หึหึ ถ้าฉันซื้อ เธอห้ามเบี้ยวก็แล้วกัน ยัยตัวแสบ’
************************
ประโยคพูดคุยเหล่านี้มันก้องอยู่ในหัว ก่อนนั้นเธอไม่ได้นึกถึงมันนัก ทว่าหลังจากออกไปเที่ยวในเมือง ทุกอย่างเกี่ยวกับเพื่อนสนิทก็วนเวียนเข้ามาในหัว ทั้งที่เธอควรจะลืม ๆ มันไปเสีย เพราะไม่สามารถกลับไปอยู่ในยุคเดิมได้อีกแล้ว
“คะ…คุณหนูถอยออกมาเจ้าค่ะ นะ…นั่นชินอ๋องพระอนุชาของฮ่องเต้นะเจ้าคะ” เสี่ยวจูรีบส่งเสียงเตือน พร้อมกับดึงชายผ้า ผู้เป็นนายให้ถอยมายืนด้านหน้าตน
ทว่าชินอ๋องกลับยื่นมือเรียวออกไปรั้งแขนนางไว้ ทำให้สาวใช้ตัวน้อยถึงกับหน้าเสีย เกรงคุณหนูของตนจะถูกทำโทษ
“เฟยเฟยคือข้อยกเว้นทั้งหมดของข้า ไม่ต้องคำนับ ไม่ต้องกลัว อยากทำสิ่งใดก็ทำได้เลย และห้ามใครรังแกนางเด็ดขาด แม้แต่คำพูดก็อย่าได้พ่นออกมา” ประโยคหลังเน้นหนักไปที่ใครบางคน ซึ่งตอนนี้แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ” เสียงรับคำหนักแน่นดังประสานกัน
‘เดี๋ยวนะ ทำไมอีตาอ๋องนี่ถึงได้ดีกับเรานัก แล้วมู่เฟยเฟยไปรู้จักมักจี่กับเขาตอนไหน เท่าที่ได้ยินมานางไม่เคยออกจากจวนเลยไม่ใช่หรือ แต่จะว่าไป มารดาเจ้าของร่างก็เป็นท่านหญิงราชนิกูลเก่า คนตรงหน้าคือชินอ๋องน้องฮ่องเต้ งั้นก็เครือญาติกันน่ะสิ เอ๊ะ หรือไม่ใช่ โอ๊ยยิ่งคิดยิ่งงง ตกลงเขากับมู่เฟยเฟยมีความสัมพันเกี่ยวข้องกันยังไงนะ’ นึกยาวไปเรื่อย
“คิดอะไรอยู่ สงสัยไยไม่ถามฮึ” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น เขาจูงมือเล็กเดินไปที่ศาลากลางบึง ผู้คนในจวนจึงแยกย้ายกันไป มีแค่เสี่ยวจูและอนุหลินเท่านั้นที่ยังอยู่ ส่วนอนุเจียวไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ต่อ เกรงจะถูกตัดลิ้นเพราะความปากพล่อยของตน
“เอ่อ…ปล่อยก่อนเถอะเพคะ มันไม่เหมาะที่พระองค์จะทำเช่นนี้ ข้า…เอ๊ย! หม่อมฉันแต่งงานแล้ว” เตือนเขาให้จำถึงข้อนี้
“ข้ารู้ แต่ข้าเชื่อว่าข้ามีสิทธิ์มากกว่าคนผู้นั้น” เอ่ยกำกวมให้คนตัวเล็กเกิดความสงสัยอีกรอบ
เฟยเฟยได้แต่มองใบหน้าคมคายที่เอาแต่จ้องนาง และยังทำสายตากรุ่มกริ่มใส่อีก มันดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เหตุใดนางไม่ต่อต้านและใช้วาจาแข็งกร้าวเหมือนที่ทำกับคนอื่นล่ะ หรือเกรงบารมีอำนาจที่เขามี
ไม่เลย เฟยเฟยไม่ได้กลัวเขาสักนิด ทว่าที่นางเป็นเช่นนี้เพราะในใจมันรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด รู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุดนับตั้งแต่หลุดเข้ามาเกิดใหม่ในร่างนี้เลยก็ว่าได้
“เหตุใดท่านอ๋องถึงดีกับหม่อมฉันนักเพคะ”
“แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ” ถามกลับเสียอย่างนั้น
“เพราะท่านแม่ขอมาหรือเพคะ” นางสงสัยว่าน่าจะเป็นเช่นนี้แหละ ไม่เช่นนั้นเขาจะทำดีด้วยทำไม
“ก็มีส่วน” ตอบเบี่ยงประเด็นไปอีก
‘ดูท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วแฮะ อีตาอ๋องนี่ทำไมถึงได้กวน…ดีจัง ถ้าไม่ติดที่เป็นอ๋องนะ แม่จะด่าให้อ้าปากค้างเชียว’ ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ ทว่านางกลับมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หึหึ”
‘อะไรของเขา? หัวเราะแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าอ่านความคิดเราออกหรอกนะ ไม่มั้ง นอกจากจะมีปาฏิหาริย์เกิดใหม่ได้ ยังมีมนุษย์ที่อ่านความคิดคนได้อีกเหรอ ไม่ ไม่ เฟยเฟย แกกำลังหลุดแล้ว’ หันหนีพร้อมกับก่นด่าตนเองแทน เมื่อเห็นสายตาของชินอ๋องที่มองมา ราวกับรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ท่านอ๋องดูเหมือนคุณชายเฉินจะรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าคุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่ คนของเราบอกว่าเขากำลังตรงมาที่จวนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวจงคนสนิทอีกคนของชินซีเหยียนรายงาน
“งั้นหรือ กว่าจะรู้ต้องใช้เวลาถึงสามวันเชียว”
ประโยคพูดคุยเหล่านี้มันทำให้ผู้ที่ได้ยินถึงกับเป็นงง
โดยเฉพาะเฟยเฟย ก็ไหนแม่เล็กบอกเองว่าคนสกุลเฉินเป็นคนมาส่งนาง แต่เหตุไฉนท่านอ๋องจึงเอ่ยราวกับฝ่ายนั้นไม่รู้ และตามหานางด้วย มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน
“นะ นี่มันอะไรกันเพคะ ไยท่านอ๋องถึงกล่าวราวกับว่าเห่ยฟางไม่รู้ว่าหม่อมฉันอยู่ที่นี่ ในเมื่อคนของเขาเอาหม่อมฉันมาส่งมิใช่หรือ” ถามคนตรงหน้าอย่างร้อนใจ
“ตกลงเรื่องมันเป็นอย่างไรท่านแม่ เหตุใดฝ่ายนั้นจึงไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วองครักษ์ผู้นี้เป็นใคร” หันมาถามอนุหลิน ซึ่งทำหน้าหราไม่ต่างกัน นางก็รู้แค่นั้นตามที่อนุเจียวบอก
“ข้าเป็นคนบอกไปเช่นนั้นเอง ไห่ถังเป็นคนของข้า และคนที่อุ้มเจ้ามาส่งที่นี่ก็คือข้า เห่ยฟางมาอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เด็ดขาด”
ทุกคนได้แต่นิ่งไปโดยเฉพาะเฟยเฟย เขาเอ่ยราวกับว่าเป็นคนไปช่วยตนมา แล้วแบบไหนยังไงกันล่ะ หลังจากเกิดเรื่องนั้น หรือว่าเป็นเขาที่อยู่กับนางตั้งแต่แรก
“ถวายพระพรท่านอ๋อง ไม่คิดว่าพระองค์จะอยู่ที่นี่ด้วย กระหม่อมจะมารับฮูหยินกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ คาดว่านางคงรักษาตัวหายดีแล้ว” สร้างเรื่องขึ้นมาราวกับสิ่งที่เอ่ยนั้นจริง เขาไม่เกรงว่าเฟยเฟยจะย้อนกลับเลยสักนิด
ริมฝีปากแดงเรื่อได้รูปเผยยิ้มเหยียดใส่สามีโดยไม่ปิดบัง บรรยากาศช่างอืมครึมดีแท้ เมื่อชินอ๋องยังคงนั่งนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เขาเองก็อยากรู้ว่าเฟยเฟยจะมีเยื่อใยต่อสามีผู้นี้หรือเปล่า แม้พอจะเดาออกว่านางคงเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ แต่เขาก็อยากพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนจะทำอะไรลงไปมากกว่านี้
“กลับบ้านเรากันนะ พี่ขอโทษที่ไม่ได้มาดูแลเจ้า ก่อนนี้ท่านอ๋องสั่งงานให้เดินทางไปต่างเมืองกระทันหันในคืนนั้นเลย เผลอทิ้งเจ้าไว้ที่เรือนนอกจนเจ้าไข้ขึ้นหนัก พี่ขอโทษนะเฟยเฟย ขอโทษจริง ๆ” น้ำเสียงเขาดูเหมือนจะรู้สึกผิดอย่างที่พูด
“ไยท่านไม่ลืมให้ตลอดไปเลยล่ะ ข้าไม่เห็นความจำเป็นที่ท่านต้องนึกถึงมันเลยสักนิด ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายดี อีกไม่นานก็ต้องกลับมาอยู่ถาวรแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องกลับไปกับท่านหรอก”
น้ำเสียงนางช่างเย็นชายิ่งนัก แต่กลับถูกใจคนที่นั่งฟังอยู่เหลือเกิน จึงอดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ทว่าไม่นานก็เลือนหายไป
“พี่บอกแล้วว่าจะไม่หย่า ก่อนนี้พี่ทำไม่ดีกับเจ้า พี่ขอโทษ พี่ขอโอกาสแก้ตัวสักครั้งเถอะนะ เฟยเฟยเจ้าอย่าลืมสิว่าสามวันก่อนเกิดสิ่งใดขึ้น” ประโยคหลังเขาเอ่ยกับนางให้ได้ยินกันสองคน ซึ่งมันทำให้ใจดวงน้อยชาวาบทันที แก้มเนียนใสขึ้นสีเรื่อบ่งบอกถึงอารมณ์ทันที ทว่าผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหาได้กังวลไม่ ริมฝีปากหนากลับเผยยิ้มราวกับเป็นต่อเสียอย่างนั้น