13. อาจเป็นเล่ห์กล
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่มันแปลกไม่แพ้กัน คนในจวนไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจแม้แต่น้อยที่เห็นนางปรากฎตัวที่นี่ มิหนำซ้ำยังดูแลดีเสียด้วย ทั้งที่บิดามารดานางก็ไม่อยู่
“คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวหรือไม่” อนุหลินเอ่ยถามเสียงอ่อน นอกจากมารดาอย่างท่านหญิงฟูหรง ก็คงมีแค่แม่เล็กคนนี้ที่ดีกับมู่เฟยเฟย เพราะนางอยากได้บุตรสาว แต่สุดท้ายก็มีเพียงบุตรชาย ซึ่งยามนี้ก็ติดตามไปทำงานกับบิดาที่ต่างเมืองนั่นแหละ
“ใคร?” เลิกคิ้วถามสาวใช้ที่ขยับลุกไปยืนข้างเตียง
“อนุหลินเจ้าค่ะ นางดีกับคุณหนูมาก” บอกไปตามจริง
‘อนุหลินงั้นเหรอ ไม่ใช่แม่ของซูฉีสินะ'
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้กับคนที่ถามไถ่
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เอ่อ” ไม่รู้ต้องเอ่ยเรียกอีกฝ่ายยังไง จึงหันมาหาสาวใช้อีกรอบ ทำเอาคนมาเยี่ยมถึงกับน้ำตาคลอ
“โถวลูกแม่ ป่วยหนักจนจำไม่ได้แม้แต่คนในจวนเชียวหรือ หรือว่าทางนั้นรังแกเจ้า” เอ่ยแล้วก็รั้งเอาร่างเล็กเข้ามากอด
‘อันที่จริงคนสกุลเฉินก็คงไม่ได้ทำร้ายอะไรมู่เฟยเฟยนักหนาหรอก นางแค่อ่อนแอเกินไปก็เท่านั้น แต่ที่จำไม่ได้ก็เพราะข้าไม่ใช่นางต่างหากล่ะ เห้อ! จะบอกยังไงดี’ ได้แต่นึกกล่าวในใจ พูดไปใครจะเชื่อว่าเจ้าของร่างตายไปแล้ว คนที่ถูกกอดคือผู้อื่นซึ่งเกิดใหม่ในร่างนี้ต่างหาก
มือเล็กยกขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะมองเลยไปเมื่อมีใครอีกคนกำลังเดินเข้ามา สีหน้าดูเหมือนไม่ได้จะมาเยี่ยมเลย หากเดาไม่ผิดนางคงป็น อนุเจียว มารดาของซูฉีกระมัง เพราะมองเห็นประกายริษยาส่องออกมาอย่างชัดเจน
ทว่านางไม่ได้คิดจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายเลยเมื่อรู้ว่าเฟยเฟยกลับมา มีแต่จะยินดีเสียด้วยซ้ำ
เป็นเพราะนางชอบใจที่คุณหนูใหญ่กลับมาอยู่ที่นี่ต่างหาก และยิ่งได้ยินว่านางขอหย่า อนุเจียวก็ยิ่งอยากให้เฟยเฟยอยู่ที่นี่ตลอดไป บุตรสาวนางจะได้เลื่อนขึ้นไปเป็นฮูหยินแทนเสีย
“ข้าคิดว่าคุณหนูใหญ่จะล้มป่วยจนไม่ฟื้นเสียแล้ว” ปากดีไปอีก เพราะนางคิดว่าเฟยเฟยก็คือมู่เฟยเฟยคนเดิม อ่อนแอไร้แรงตอบโต้ ไม่เช่นนั้นจะป่วยหนักจนคนสกุลเฉินส่งตัวกลับมาได้เยี่ยงไรได้ยินถ้อยคำเช่นนี้อีกหน่อยน้ำตาก็ล่วงเผาะ
“อนุเจียวหวังให้ข้าตายกระนั้นหรือ เสียใจด้วยนะข้าอายุยืนมากกว่าที่เจ้าคิด อีกอย่างข้าเชื่อว่าข้าจะได้ส่งเจ้าลงโลงก่อนเสียด้วยซ้ำ หากคิดจะมาเยี่ยมก็ถามไถ่อาการ แต่ถ้าจะมาดูให้ชัดว่าตายหรือยัง ก็ตอบได้เลยว่า ยัง เพราะฉะนั้นพิจารณาตนเองเสียว่าเจ้าควรจะอยู่ในห้องนี้ หรือจะให้ข้าออกคำสั่งโยนเจ้าออกไป” เสียงกดต่ำดังขึ้น
พร้อมกับนัยน์ตาคมดุจ้องจนอนุเจียวถึงกับขนลุก เพราะท่าทางของเฟยเฟยเปลี่ยนไปมากอย่างที่บุตรสาวเคยเล่าให้ฟังจริง ๆ เพียงแต่นางไม่เชื่อว่าคนเราจะต่างไปได้ง่ายถึงเพียงนี้ และตนก็เป็นถึงแม่เล็กอีกคนของนาง
มู่เฟยเฟยควรจะให้เกียรติเช่นแต่ก่อน มิใช่ตำหนิปนสั่งสอนตนต่อหน้าบ่าวไพร่ให้อับอายเช่นนี้
อนุหลินกะพริบตาถี่มองคนตรงหน้าที่ต่างออกไปจากแต่ก่อนมาก เฟยเฟยของนางมิเคยเอ่ยวาจาก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ ทว่าสิ่งที่ได้ยินทั้งสั่งสอนทั้งตำหนิเชียวล่ะ
“เกิดอันใดขึ้นกับเจ้าหรือลูกแม่ ไยถึงกลายเป็นคนปากร้ายนัก” มือเหี่ยวตามวัยยกขึ้นลูบหน้าบุตรสาวต่างสายเลือด
“แล้วแบบไหนดีกว่ากันเจ้าค่ะ อ่อนแอขี้โรค ผู้ใดข่มเหงก็ก้มหน้ารับ หรือปากร้ายชอบตอบโต้ และร่างกายก็แข็งแรงดีด้วย” ถามอย่างใคร่รู้ คนในจวนอยากเห็นมู่เฟยเฟยเป็นแบบไหน ชอบที่นางไม่สู้คนปล่อยให้ผู้อื่นรังแกกระนั้นหรือ
“อย่างหลังสิ แม่อยากเห็นเจ้าแข็งแรง ส่วนเรื่องปากร้าย อย่างไรเสียก็อย่าให้มากเกินไปเลยนะ” เตือนสติอีกครา
“เจ้าค่ะ ลูกจะระวังคำพูดให้มากกว่านี้ ว่าแต่แม่เล็กเล่าเรื่องที่ข้ามาที่นี่ให้ฟังหน่อยนะเจ้าคะ ใช่คนของเห่ยฟางมาส่งหรือไม่” รีบถามถึงที่มาในคืนนั้น นางอยากรู้ว่ามาได้เยี่ยงไร
เฟยเฟยนั่งนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากฟังคำบอกเล่าของอนุหลิน ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ คนของเห่ยฟางมาส่งนางจริง ๆ งั้นหรือ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ในเมื่อเขาเอ่ยเองว่าไม่ต้องการหย่า ไยจึงส่งนางกลับจวนสกุลมู่ได้ ในเมื่อลงทุนวางยาและร่วมรักกันแล้วแท้ ๆ ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
คิดหาเหตุผลเพียงใดนางก็นึกไม่ออก เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีสติจึงไม่รู้ว่าตนถูกเคลื่อนย้ายไปที่ใดบ้าง
“เจ้ากังวลว่าทางนั้นจะไม่มารับกลับหรือ เอ่อ แม่ได้ยินว่าเจ้าขอหย่ากับเห่ยฟาง มันจริงหรือไม่” อนุหลินเอ่ยถามเสียงอ้อมแอ้ม เพราะเกรงจะกระทบจิตใจบุตรสาว
“เจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าแจ้งให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบแล้วทางจดหมาย คาดว่าป่านนี้พวกท่านคงได้รับแล้ว”
“อืม หากที่นั่นดูแลไม่ดีก็กลับบ้านเราเถอะลูก” บอกเสียงอ่อนพร้อมกับยกมือลูบหัวอย่างแผ่วเบา คนไม่มีพ่อแม่ให้ความอบอุ่นนานแล้ว ถึงกับอดไม่ได้ซบลงที่ไหล่แม่เล็กทันที ทว่าในใจเฟยเฟยก็ยังครุ่นคิดเรื่องเดิมอยู่
‘เฉินเห่ยฟาง เจ้าหมายจะทำสิ่งใดกันแน่’
สามวันผ่านไป
ร่างกายของเฟยเฟยเริ่มฟื้นตัวจนสามารถลุกเดินได้แล้ว และตลอดระยะเวลาที่นางรักษาตัว ไม่มีคนของจวนสกุลเฉินมา
ถามไถ่ข่าวคราวแม้แต่คนเดียว
มันน่าแปลก??
นางมาอยู่ที่นี่ถึงสามวันแล้วทว่าสามีกลับไม่คิดจะมารับ หรือเขาหมายจะย่ำยีแล้วทิ้งขว้าง คำถามมากมายแล่นอยู่ในหัวซึ่งมันไม่มีทางหาคำตอบได้แน่หากยังอยู่ที่นี่ต่อ
ใช่ว่าเฟยเฟยอยากจะกลับไปที่นั่น แต่นางอยากจบปัญหาที่คาราคาซังมากกว่า ตราบใดที่ตนยังไม่ได้จดหมายหย่ามาประทับตรา นางก็ไม่อาจไว้วางใจเรื่องทุกอย่างได้
“ใส่เสื้อคลุมหนา ๆ หน่อย ประเดี๋ยวจะเจ็บไข้เอาอีก”
“ขอบคุณท่านแม่ ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”
“ถึงกระนั้นก็ต้องสวมผ้าคลุมให้หนา” สตรีวัยสี่สิบยังคงอดเป็นห่วงมิได้ บุตรสาวต่างสายเลือดจึงจำต้องทำตาม
“คุณหนูจะไปไหนหรือขอรับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินถึงหน้าประตู ทำให้นางต้องหยุดชะงักมองอีกฝ่าย
คิ้วสวยผูกกันเป็นปมเพราะรู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่ไม่น้อย
“ใคร?” หันมาถามสาวใช้ เพราะเกรงว่าคนตรงหน้าจะเป็นญาติตน เพราะเขาแต่งกายต่างจากบ่าวในจวน
“คนที่มาส่งเจ้าที่จวนอย่างไรล่ะ อ้อ…มีอีกคนนะ ท่าทางแข็งกร้าวมาก มิหนำซ้ำยังปิดหน้าปิดตาอย่างกับโจร ถือดาบกันทุกคน คราแรกข้าคิดว่าจะมาปล้นจวนเสียอีก แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้รุมโทรมคุณหนูใหญ่จนอิ่มหนำถึงค่อยมาส่งกระมัง เพราะสภาพเจ้าดูไม่เหมือนคนจับไข้เลยสักนิด” คนปากเสียยังมิวายเอ่ยดัง ๆ ให้คนในจวนได้ยินไปด้วย
และทุกอย่างมันก็เป็นเช่นที่นางเอ่ย คราแรกทุกคนต่างก็คิดว่าโจรปล้นบ้าน ทว่าพอเห็นคุณหนูใหญ่ของจวนซึ่งหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของชายฉกรรจ์หนึ่งในสิบที่พามาจึงได้เปิดทางให้
“หากเจ้ายังมิยอมหุบปากเน่า ๆ เสีย ข้าจะเอาเข็มเย็บปากเจ้าให้พ่นวาจาออกมาไม่ได้อีกตลอดชีวิต” เสียงเย็นเยียบดังขึ้น
องครักษ์ที่ยืนอยู่จึงขยับถอยออกมายืนอีกมุม ก่อนที่เขาจะโค้งคำนับทำความเคารพ ซึ่งมันไม่ต่างจากคนในจวนเมื่อเห็นผู้มาเยือน แม้แต่เสี่ยวจูยังถอยไปยืนหลบและไม่ลืมดึงเอาผู้เป็นนายตามมาด้วย สร้างความฉงนให้คนจากยุคอื่นอีกหน
‘ใครอีกล่ะเนี่ยะ เขาเป็นใครกัน’ มองหนุ่มหล่อตรงหน้า ซึ่งมันดูคุ้นตายังไงพิกล เหมือนเธอเคยเห็นเขาที่ไหน แต่นึกไม่ออก
“ทำไม ไม่เจอหน้ากันไม่กี่วันก็ลืมแล้วหรือ” เขาเดินมาหยุดตรงหน้านาง เผยยิ้มอ่อนส่งให้จนคนมองเกือบจะละลาย
#ใครกันนะ