บทที่ 3 เปิดปากพูด
เย่เฟิงรีบลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็ล็อคประตู ตามด้วยรีบเข้าไปในห้องน้ำ
รู้สึกถึงน้ำร้อนที่ไหลลงมาจากศีรษะของเขา ขณะนี้เย่เฟิงรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ชายชราคนนั้นไม่ได้หลอกตัวเองจริงๆด้วย ตอนนี้ไม่เพียงแต่ตัวเองจะพูดได้แล้ว แต่ยังมีพลังลึกลับปรากฏขึ้นในร่างกายของเขา และดูเหมือนตัวเองสามารถใช้พลังงานนี้ทำได้ทุกเรื่อง!
นอกจากนี้ เย่เฟิงยังสังเกตเห็นว่าในสมองของตัวเองจู่ๆก็มีความรู้มากมาย ซึ่งก็คือความรู้ด้านแผนยาจีน
ฟางฮุ่ยฉงได้ขึ้นไปถึงชั้นสอง เมื่อเห็นหลี่ยั่วเสวี่ยมีสีหน้าตื่นตระหนก ก็รู้สึกปวดใจทันที “หนูเสวี่ย เย่เฟิงรังแกเธอใช่ไหม?”
“แม่ เย่เฟิง เขา……” เมื่อนึกถึงฉากที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้ หลี่ยั่วเสวี่ยถึงกับพูดติดอ่าง
“เขาเป็นอะไร?” ตอนนี้ฟางฮุ่ยฉงถามคำถามนี้ ในใจกลับคิดหรือว่าเป็นไปได้ไหมที่อาการป่วยเย่เฟิงกำเริบจนตายไปแล้ว
“เขาเป็นสัตว์ประหลาด!” ในที่สุดหลี่ยั่วเสวี่ยก็สรรหาคำพูดที่เหมาะสมในการเรียก
“สัตว์ประหลาด?” ฟางฮุ่ยฉงตกตะลึง คิดในใจหรือว่าหนูเสวี่ยเกิดอาการประสาทหลอน ถ้าลูกเขยขี้ขลาดคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆก็คงจะดี อย่างน้อยก็ส่งเขาไปสวนสัตว์จะได้หาเงินได้บ้าง
ฟางฮุ่ยฉงเดินไปที่หน้าประตูห้องนอนของเย่เฟิง บิดลูกบิดประตู แต่ก็เปิดไม่ออก
ถึงกลับกล้าล็อคประตู ฟางฮุ่ยฉงโกรธขึ้นมาทันที ทุบประตูอย่างแรง “เย่เฟิง นายแอบอยู่ในนั้นทำไม เปิดประตู!”
“เดี๋ยวก่อน ผมกำลังอาบน้ำอยู่” เสียงของเย่เฟิงดังมาจากด้านในประตู
“ฮึ่ม ยิ่งอยู่ยิ่งไปกันใหญ่แล้วจริงๆ……” หลังจากพูดจบ ฟางฮุ่ยฉงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "เย่เทียน นายพูดได้แล้วเหรอ?”
ในห้องไม่มีเสียงตอบรับ
ฟางฮุ่ยฉงรีบเดินไปตรงหน้าหลี่ยั่วเสวี่ย และพูดด้วยความประหลาดใจ “หนูเสวี่ยเมื่อกี้ เธอได้ยินไหม เย่เฟิงพูดแล้ว!”
“แม่ เรารีบลงไปข้างล่างก่อนเถอะ รอให้เขาออกมาเอง” นึกถึงฉากที่เธอเห็นเมื่อกี้ หลี่ยั่วเสวี่ยยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ทั้งสองลงไปถึงห้องโถง เหอซิงก้าวเดินมาข้างหน้า “คุณน้า เย่เฟิงคนนั้นไม่ออกมาเหรอ? แม้แต่คำพูดของคุณเขาก็ไม่ฟัง ทำเกินไปจริงๆ"
มีหรือที่ฟางฮุ่ยฉงจะฟังไม่ออกว่าคำพูดของเหอซิงมีความหมายแอบแฝง เธอเลยขมวดคิ้วทันที “พวกเรารอเขาออกมา ฉันอยากดูว่าเขากำลังทำบ้าอะไร!”
เหอซิงเย้ยหยันในใจ “ขยะแบบนี้ เป็นการทำลายหลี่ยั่วหยุนจริงๆ”
หลังจากนั้นไม่นาน เย่เฟิงก็ลงมาจากชั้นบน ขณะนี้เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาด และเส้นผมของเขายังไม่แห้งดี
จู่ๆหลี่ยั่วเสวี่ยก็ลุกขึ้นจากโซฟา ชี้ไปที่เย่เฟิงและพูดติดอ่าง เย่เฟิง คุณ ร่างของคุณ.....”
เย่เฟิงเดินไปที่อีกฝั่งของโซฟาแล้วนั่งลงอย่างสบายๆ จากนั้นรินน้ำชาให้กับตัวเอง
“เย่เฟิง ฉันบอกให้นายยืนขึ้น!” ฟางฮุ่ยฉงตะโกน
เย่เฟิงทำตามลุกขึ้นจากโซฟา จ้องมองฟางฮุ่ยฉงด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์
ฟางฮุ่ยฉงทนต่อท่าทีการแสดงออกเช่นนี้ไม่ได้ และตระโกนด่าด้วยความโกรธ “เย่เฟิง หยุดเสแสร้งได้แล้ว แกล้งทำมาตั้งสามปีไม่เหนื่อยหรือไง พูดสิ”
“แม่ยาย” สีหน้าเย่เฟิงแสดงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย และพูดสามคำออกจากปาก
นี่ทำให้หลี่ยั่วเสวี่ยและเหอซิงตกใจไม่น้อย คนใบ้ถึงกลับพูดได้แล้ว!
เป็นไปได้ไหมว่าก่อนหน้านี้เขาแกล้งทำมาโดยตลอด! ?
“เย่ เย่เฟิง นายพูดได้จริงหรือ!” หลี่ยั่วเสวี่ยแสดงสีหน้ารังเกียจ “ไอ้คนโกหก นายถึงกับแกล้งทำเป็นใบ้! นายไม่อยากคุยกับพวกเราเหรอ? งั้นก็แกล้งไปตลอดชีวิตเลยสิ ! "
แม้ว่าปากเธอจะโกรธ แต่หลี่ยั่วเสวี่ยกลับรู้สึกว่าในร่างกายของเย่เฟิงมีบางอย่างเปลี่ยนไป เดิมทีที่เคยงอตัวอยู่ตลอด แต่วันนี้เขายืนตัวตรง และร่างกายที่ผอมบางของเขา วันนี้เห็นแล้วกลับทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลัง
ความรู้สึกเช่นนั้น ราวกับว่าคนที่รูปลักษณ์ขี้เหร่กลายเป็นชายรูปงาม มันเป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ
ท่าทีและการแสดงออกของเย่เฟิงในตอนนี้ ในมุมมองของเหอซิงเป็นเพียงการเสแสร้ง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “คุณก็คือเย่เฟิงเหรอ เป็นอย่างที่ผมจินตนาการไว้จริงๆ”
ขณะที่พูด เหอซิงก็มองไปที่ฟางฮุ่ยฉงอีกครั้ง “คุณน้าครับ คนแบบนี้ไม่มีวันที่จะมอบความสุขให้กับยั่วหยุนได้หรอก การดำรงอยู่ของเขาก็คือการทำร้ายยั่วหยุน ท่านคิดว่าผมพูดถูกไหม?”
ฟางฮุ่ยฉงไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าในใจเธอจะคิดเช่นนั้น แต่ยังไงนี่คือเรื่องในครอบครัวของตระกูลหลี่ จะยอมให้คนนอกมาวิพากษ์วิจารณ์และมาตัดสินได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าฟางฮุ่ยฉงไม่พูด เหอซิงก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น เดินไปอยู่ตรงหน้าเย่เฟิง มองด้วยสายตาที่ดูถูกและพูดว่า “คุณคิดว่าการที่เกาะกินตระกูลหลี่แบบนี้ไปเรื่อยๆมีค่าไหม? ถ้าคุณหวังดีต่อยั่วหยุนจริงๆ ก็ไปจากเธอซะ”
เย่เฟิงกำหมัดแน่น ราวกับกำลังดูตัวตลกส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“หากคุณไปจากยั่วหยุน ผมจะหางานที่มีคุณค่าให้คุณ และให้เงินคุณอีกสองแสน เป็นไง?” เหอซิงเสนอข้อต่อรองของตัวเองออกไป
หลังจากที่เหอซิงพูดจบ เขาก็แอบก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ เขาคิดว่า ภายใต้การยั่วยุของตัวเองเช่นนี้ หากเป็นลูกผู้ชาย คงต้องมาทุบต่อยตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวเองก็จะได้ฉวยโอกาสสั่งสอนเขาให้หนัก
ต้องรู้ว่า ตัวเองเป็นถึงนักเทควันโดสายดำ!
สิ่งที่ทำให้เหอซิงผิดหวังก็คือ เย่เฟิงเพียงแค่มองเขาอย่างเงียบๆ สีหน้าแบบนั้น ราวกับคนๆหนึ่งที่กำลังมองมดที่อยู่บนพื้น
เหอซิงถูกเย่เฟิงจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ทำให้รู้สึกขนลุกเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คว้าคอเสื้อของเย่เฟิง “จ้องมองอะไร ไอ้แมงดาเศษสวะ?”
เย่เฟิงยังคงมองเขาด้วยสีหน้าท่าทีเหมือนมองมดตัวหนึ่ง
คราวนี้ทำให้เหอซิงโกรธจัด มืออีกข้างของเขาตบไปที่แก้มของเย่เฟิงโดยตรง
ฟางฮุ่ยฉงที่อยู่ข้างๆไม่ได้ห้าม แต่ยืนมองดูเหตุการณ์นี้ในฐานะคนนอกและปล่อยให้เรื่องราวดำเนินการไปเรื่อยๆ
วินาทีต่อมา กำปั้นของเหอซิงหยุดกลางอากาศ ห่างจากแก้มของเย่เฟิงไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร
มือข้างหนึ่งของเย่เฟิงจับข้อมือของเหอซิงไว้อย่างแม่นยำ
เหอซิงพยายามดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถหลุดออกได้ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อมือ เหอซิงก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ปล่อยฉันนะ ไอ้เศษวะ!”
“ไอ้เศษวะเหรอ?” เย่เฟิงพูดย้ำคำเย้ยหยันด้วยตัวเอง
ในวินาทีนี้ เหอซิงปล่อยมือจากคอเสื้อของเย่เฟิง แล้วกำหมัดต่อยไปที่หัวของเย่เฟิง
แต่เย่เฟิงเร็วกว่าเขา มืออีกข้างจับคอของเหอซิงไว้ทันที
ความรู้สึกของการหายใจไม่ออกชั่วขณะทำให้เหอซิงสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทันที
“ปล่อย ปล่อยฉันนะ!” รู้สึกถึงแรงอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ตรงคอของเขา ในใจเหอซิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา และฝืนพูดออกมาจากลำคอไม่กี่คำ
เย่เฟิงมองไปที่เหอซิงอย่างเย็นชา “นายเป็นตัวอะไร ยังคู่ควรมาชี้นิ้วยกไม้ยกมือบงการที่นี่เหรอ?”
“เย่เฟิง ฉันสั่งให้หยุด!" ฟางฮุ่ยฉงกลัวว่าเย่เฟิงจะคลั่งจนฆ่าคนตาย จึงตะโกนห้าม
เย่เฟิงหันหน้าไปมองฟางฮุ่ยฉง ยิ้มเย็นชา
แม่ยายเอ้ยแม่ยาย เมื่อกี้ตอนที่เหอซิงตบผมทำไมคุณไม่ห้ามและบอกให้เขาหยุดล่ะ?
เย่เฟิงโยนเหอซิงลงบนพื้นราวกับทิ้งขยะ
ในขณะนี้โทรศัพท์มือถือของฟางฮุ่ยฉงดังขึ้น
ฟางฮุ่ยฉงชำเลืองไปที่หน้าจอ จากนั้นกดปุ่มรับสาย
“อะไรนะ บริษัทของยั่วหยุนเกิดเรื่องขึ้น?” ฟางฮุ่ยฉงร้องออกมาอย่างกระวนกระวาย
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง