บทย่อ
เพื่อช่วยรักษาอาการป่วยของคุณย่า เย่เฟิงเป็นแต่งเข้าเป็นเขยตระกูลหลี่ หนึ่งปีต่อมา เขากลายเป็นคนใบ้ สามปีต่อมาณวันนี้ พอเขาเปิดปากพูดก็ให้แม่ยาย......
บทที่ 1 ผมเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าไปอยู่ในบ้านภรรยา
นอกประตูมหาวิทยาลัยเยียนจิง รถเบนซ์ อี-คลาสหยุดจอดอย่างมั่นคง สาวสวยในชุดลเดรสสีม่วงอ่อนๆเดินไปที่รถ
เดิมทีใบหน้าของหญิงสาวที่มีรอยยิ้มอยู่ แต่ชั่วขณะที่เธอเห็นผู้ชายที่เดินออกมาจากรถ เธอก็ยิ้มแข็งๆขึ้นมาทันที
“เย่เฟิง ทำไมถึงเป็นคุณ พี่สาวของฉันล่ะ?” น้ำเสียงของหญิงสาวไม่พอใจมาก
เย่เฟิงเพียงแค่ส่ายหัว เพราะเขาไม่สามารถพูดได้
หญิงสาวหันศีรษะมองไปรอบๆ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อดึงประตูรถ เธอไม่ต้องการให้คนรู้ว่าพี่เขยคนนี้มารับตัวเองซึ่งทั้งใบ้และหลังจากแต่งงานแล้วก็มาอยู่บ้านภรรยา
ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงพี่เขยใบ้ของตัวเอง เธอจะรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะขึ้นรถ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลังเธอ “คนนี้เป็นหลี่ยั่วเสวี่ยดาวมหาวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยเยียนจิงไม่ใช่เหรอ?”
ร่างกายของหลี่ยั่วเสวี่ยแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เธอฟังออกแล้วว่าคนที่พูดเป็นใคร
หันตัวกลับมา หลี่ยั่วเสวี่ยพยายามอย่างมากที่จะฝืนยิ้มออกมา “ชิงหยาพวกคุณนี่เอง จะออกไปเที่ยวกันเหรอ?”
“ใช่ พอดีเห็นคุณ ก็เลยแวะมาทักทายคุณหน่อย” หญิงสาวที่ชื่อชิงหยาตอบอย่างสบายๆ แต่สายตาของเธอกวาดมองไปที่ตัวเย่เฟิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ยั่วเสวี่ย ผู้ชายคนนี้คือใครเหรอ? โอ้ ฉันรู้แล้ว ต้องเป็นคนขับรถของบ้านคุณแน่ๆ” หญิงสาวอีกคนแสร้งทำเป็นสงสัย
สีหน้าของหลี่ยั่วเสวี่ยปรากฏรอยยิ้มที่อึดอัดใจ “เขา เขาเป็นพี่......”
“ฉันรู้แล้ว!” หญิงสาวคนที่สามมีสีหน้าแปลกๆ “เขาคือพี่เขยที่เป็นใบ้ของคุณใช่ไหม!?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของหลี่ยั่วเสวี่ยเย็นชาลง ไม่พูดอะไรอีก เปิดประตูแล้วเข้าไปในรถ
“เย่เฟิง คุณเหม่ออะไร ไปเถอะ!” หลี่ยั่วเสวี่ยลดกระจกรถลงและตะโกน ตอนนี้อารมณ์ของเธอได้รับผลกระทบอย่างมาก
เย่เฟิงเข้าไปนั่งในรถอย่างเงียบๆภายใต้สายตาและการดูถูกของผู้หญิงทั้งสามคน ค่อยๆสตาร์ทรถ และออกจากประตูมหาวิทยาลัยเยียนจิงอย่างเงียบๆ
หลี่ยั่วเสวี่ยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หาหมายเลขของหลี่ยั่วหยุนจนพบ และโทรออก
“พี่ ไหนคุยกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่จะมารับฉัน ทำไมถึงให้เย่เฟิงมาล่ะ?”
“อะไรนะ? มีธุระปลิดตัวมาไม่ได้ ฮึ่ม ถ้ายุ่งมาก วันหลังไม่ต้องให้เขามา ฉันนั่งแท็กซี่กลับเองได้!”
หลี่ยั่วเสวี่ยที่นั่งอยู่เบาะหลังวางสายโทรศัพท์ด้วยความโกรธ จากนั้นมองไปที่เย่เฟิงที่กำลังขับรถ ยิ่งดูก็ยิ่งไม่พอใจ
“เฮ้ย เย่เฟิง อย่าคิดว่าการแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านภรรยาเป็นเรื่องคับข้องใจมาก ถ้าไม่ใช่ตระกูลหลี่ของเราให้อาหารและที่พักแก่คุณ คนใบ้อย่างคุณคงอดตายอยู่ข้างถนนแล้ว”
“ฉันขอแนะนำให้คุณหย่ากับพี่สาวของฉันซะ ถึงเวลานั้นตระกูลหลี่ของเราจะให้เงินคุณก้อนหนึ่ง คุณเอาเงินนั่นไปสามารถใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ ขอเพียงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก”
“ฉันพูดกับคุณอยู่ได้ยินไหม คุณตอบรับหน่อยสิ!”
หลังจากที่หลี่ยั่วเสวี่ยระบายเสร็จ เธอกลับยิ้มด้วยความโกรธ “ฉันขอโทษด้วย ลืมไปแล้วว่าคุณเป็นใบ้”
มือของเย่เฟิงกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ชีวิตแบบนี้ เขาอดทนมาสี่ปีแล้ว
ตอนที่เย่เฟิงอายุได้หกขวบ พ่อแม่หายสาบสูญ ย่าของเขาเป็นคนเลี้ยงดูเขามาจนโต อาศัยเงินเดือนเกษียณอันน้อยนิดและเงินค่าเก็บขยะที่เก็บสะสมมาของคุณย่า ส่งเย่เฟิงเรียนจนจบปริญญาตรี
เย่เฟิงจำได้อย่างชัดเจน ในวันที่เขาเรียนจบปริญญาตรี คุณย่าที่เข้มแข็งมาโดยตลอดก็ได้ล้มลง
ผลการตรวจของโรงพยาบาลออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะสุดท้าย
เมื่อมองดูคุณย่าที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ผอมลงเรื่อยๆ น้ำตาแห่งความโศกเศร้าของเย่เฟิงได้หลั่งลงมา เขาสาบานว่าไม่ว่ายังไงจะให้คุณย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ไม่ว่าจะหนึ่งปี หรือหนึ่งเดือนก็ยังดี
เย่เฟิงเริ่มขอยืมเงินจากคนที่เขารู้จัก เริ่มเรียนรู้วิธีการระดมทุนในอินเทอร์เน็ต และเริ่มคุกเข่าบนถนนคนเดินในใจกลางเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนใจดี
สวรรค์ย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ ในที่สุดเย่เฟิงก็ระดมเงินได้
คนที่ออกเงินให้คือสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาไม่เพียงแต่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณย่าของเย่เฟิงเท่านั้น แต่ยังให้ลูกสาวคนโตแต่งงานกับเขาด้วย
ในวันนั้น เย่เฟิงรู้สึกว่าในชีวิตที่มืดมนที่สุดของเขาก็มีแสงสว่างส่องเข้ามา
หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน เย่เฟิงถึงได้รู้ว่าเขาช่างไร้เดียงสาจริงๆ สาเหตุที่ตระกูลหลี่ช่วยเหลือตัวเอง และเหตุผลที่เขาเต็มใจยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา เป็นเพราะเชื่อว่าในการจัดงานมงคลนี้เพื่อขจัดเสนียดจัญไรให้กับลูกสาวที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก
พูดให้ชัดเจนก็คือ เย่เฟิงเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง หลังจากจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรจบลง เขาใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลี่ก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
หลังจากหนึ่งปีผ่านไป คุณย่าก็ได้จากเขาไป หลังจากจัดการงานศพของคุณย่าเสร็จแล้ว เย่เฟิงรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายใดๆแล้ว
จำได้ว่ามันเป็นคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง เป็นเพราะเรื่องเล็กน้อย เย่เฟิงถูกไล่ออกจากตระกูลหลี่
เย่เฟิงซึ่งไร้ที่อยู่อาศัยเดินเตร่อยู่บนถนนเหมือนวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตร ปล่อยให้ฝนกระหน่ำลงมาที่ร่างของตัวเอง
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เย่เฟิงมาถึงสะพานคู่รัก นี่คือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในเมืองเยียนจิง เทศกาลวันแห่งความรัก คู่รักจะนัดพบกันที่นี่
คนรัก?
สิ่งเหล่านี้สำหรับเย่เฟิงแล้วเป็นความล้ำค่าที่ไม่อาจสัมผัสได้
เมื่อมองไปที่ใต้สะพานที่มีน้ำแม่น้ำหลงเจียงไหลไปทางตะวันออก ในสมองเย่เฟิงมีความคิดที่จะกระโดดลงไป
ขอเพียงกระโดดลงไป ทุกอย่างก็จะเป็นอิสระและหลุดพ้น
ทันทีที่ความคิดนี้แวบขึ้นมาในสมองก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก เย่เฟิงก้าวขาข้างหนึ่งข้ามราว
“เจ้าหนุ่ม ฝนตกหนักขนาดนี้ การกระโดดลงไปในแม่น้ำไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนะ”
เสียงทุ้มและแหบแห้งแว่วมาข้างหูของเย่เฟิง
เย่เฟิงหันศีรษะไป ชายชราผมหงอกไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นข้างๆตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือซ้ายถือร่มสีดำไว้ สีหน้าท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
“ฉันจะให้โอกาสคุณเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตัวเอง คุณอยากได้ไหม?” น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความยั่วยวน
เย่เฟิงไม่รู้ว่าตัวเองเห็นภาพหลอนหรือเปล่า แต่ก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
ชายชราหยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกระเป๋า ในเข็มฉีดยามีของเหลวสีฟ้าอ่อนๆอยู่
“ยื่นมือของคุณออกมา”
เย่เฟิงไม่ขยับ สีหน้าแสดงความกังวลออกมา
“คุณกลัวแล้วเหรอ?” สีหน้าของชายชรากลายเป็นขี้เล่นขึ้นมา “แม้แต่ตายคุณก็ยังไม่กลัว แล้วคุณยังจะกลัวอะไรอีก?”
เย่เฟิงยื่นมือขวาออกไป ชายชราก็ฉีดของเหลวในหลอดฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดของเขา
“จำไว้ เริ่มจากวันนี้ไปอีกสามปี คุณจะกลายเป็นใบ้ หลังจากสามปีผ่านไป คุณจะมีชีวิตที่แตกต่างออกไป สิ่งสำคัญคือภายในสามปีนี้หากคุณยังสามารถมีชีวิตรอดได้..…”
ชายชราถือร่มค่อยๆหายไปจากสายตาของเย่เฟิง
เย่เฟิงอยากจะเปิดปากเรียกเขา แต่เขาทำได้เพียงส่งเสียง “วู๊ วู๊”
ตั้งแต่วินาทีที่กลายเป็นใบ้ ชีวิตของเย่เฟิงที่อยู่ในตระกูลหลี่ยังเทียบสุนัขตัวหนึ่งไม่ได้
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในทุกๆปีเวลาเดียวกับตอนที่เขาถูกฉีดของเหลวสีฟ้านั้น ร่างกายของเขาจะเจ็บปวดอย่างมาก ราวกับว่ามีมดนับหมื่นตัวกำลังกัดอยู่บนร่าง แม้แต่หัวก็รู้สึกบวม เหมือนกำลังจะระเบิดได้ทุกเมื่อ……
ทุกครั้งหลังจากผ่านความเจ็บปวด เย่เฟิงเหมือนรู้สึกว่าร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่รายละเอียดในการเปลี่ยนแปลงเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า คืนนี้สามทุ่ม ก็ครบสามปีเต็มๆ!